ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เวียดนามใช้นโยบาย “ถ่วงดุล” จีนกับสหรัฐอย่างระมัดระวังยิ่ง
ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐกับจีนต่างก็พบปะกับนายกฯ เวียดนาม Pham Minh Chinh (ฝั่ม มินจิ๊น)
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน บินไปเยือนเวียดนามในจังหวะที่จะไปประชุม G-20 ที่อินเดียเมื่อเร็วๆ นี้
ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะไบเดนบินข้ามหัวหลายประเทศในอาเซียน มุ่งตรงไปฮานอยเฉยเลย
สะท้อนว่าวอชิงตันให้ความสำคัญกับเวียดนามเป็นพิเศษ
ชัดเจนว่าเป็นเพราะอเมริกาต้องการจะขยับเข้าใกล้เวียดนามเพื่อสกัดอิทธิพลจีนในย่านนี้
เวียดนามได้ประโยชน์จากการเพิ่มกิจกรรมการค้าขายกับทั้งวอชิงตันและปักกิ่ง
อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากที่สองยักษ์ใหญ่มีความระหองระแหงต่อกัน
พอสองประเทศมหาอำนาจใช้นโยบาย decouple หรือแยกค่ายแบ่งข้างในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ เวียดนามก็ได้ประโยชน์ด้วยการ “เสียบ” เข้าไปในช่องว่างที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
แต่การใช้นโยบาย “ไต่ลวด” อย่างนี้ บางทีก็ถูกมองว่าเป็น “นกสองหัว” ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่เพิ่มสูงขึ้น
เหมือนจะเล่นบท “เสี้ยม” ทั้งสองฝ่ายให้เพิ่มความเป็นศัตรูมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเร็วๆ นี้ ฮานอยประกาศยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐไปสู่ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ครอบคลุม” หรือ Comprehensive strategic partnership ในช่วงที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไปเยือนอย่างเป็นทางการ
ถือเป็นครั้งแรกที่ไบเดนไปเยือนเวียดนามที่ครั้งหนึ่งเคยทำสงครามกับสหรัฐอย่างดุเดือดเข้มข้น
การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับเวียดนามเท่ากับยกขึ้นไปในระดับเดียวกับจีน
ขากลับจากไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ นายกฯ เวียดนามพบรัฐมนตรีคลังสหรัฐ จาเน็ท เยเลน และขอให้อเมริกาให้สถานะ “ประเทศเศรษฐกิจการตลาด (market economy country status)
และขอให้ลดมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าขายระหว่างกัน เช่น ภาษีทุ่มตลาด (anti-dumping duties) ต่อประเทศคู่ค้า
แต่ก่อนจะไปสหรัฐคราวนี้ นายกฯ เวียดนามไปเมืองหนานหนิงของจีนก่อน เพื่อร่วม China-Asean Expo และนัดพบนายกฯ หลี่ เฉียง ของจีน
ทั้งสองพูดจาเรื่องความสำคัญของการทูตระหว่างเพื่อนบ้าน รวมถึงการขยายความร่วมมือทางการค้า
อีกทั้งยังปรึกษาหารือเรื่อง “การเชื่อมต่อ” ด้านโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทาน
ยุทธศาสตร์ของเวียดนามในกรณีนี้น่าจะตีความได้ว่า คือการคบหายักษ์ใหญ่ทั้งสองค่ายในกรณีที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน...แต่ต้องให้แน่ใจว่าจะไม่กระโดดไปอยู่ค่ายใดค่ายหนึ่งอย่างชัดแจ้งเกินไป
เวียดนามคงจะประเมินแล้วว่า การดึงเอาสหรัฐเข้ามาใกล้ชิดมากขึ้นทางด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์จะเป็นการสร้างอำนาจต่อรองกับจีน
ยังไงๆ เวียดนามก็มองว่าจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านยักษ์ของตน และมีประวัติศาสตร์ที่ขมขื่นมายาวนานนั้นยังคงเป็น “ภัยคุกคาม” ในระยะยาว
ที่ต้องมีการ “บริหารจัดการ” อย่างระมัดระวัง
แต่ครั้นจะไม่คบมังกรยักษ์ก็ไม่ได้ เพราะผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจนั้นชัดเจนมาก
จีนมีเงินและอิทธิพลบารมีในย่านนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
เวียดนามจึงต้องฝังอดีตเอาไว้ สร้างสัมพันธ์กับจีนที่เน้นทางด้านเศรษฐกิจและคบหาทางการเมืองและการทูตอย่างระมัดระวัง
เพราะทั้งเศรษฐกิจและการเมืองย่อมนำไปสู่มิติด้านความมั่นคงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จีนก็ย่อมจะมองเวียดนามด้วยความระแวงและความจำเป็นเช่นกัน
ด้านหนึ่ง จีนต้องไม่ทำให้เวียดนามรู้สึกกลัวตัวเองจนต้องวิ่งเข้าหาสหรัฐเต็มตัว
อีกด้านหนึ่ง ปักกิ่งย่อมจะเห็นประโยชน์ของความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจกับเวียดนาม
เพราะเวียดนามมีประชากรประมาณ 90 ล้านคน มีทรัพยากรธรรมชาติและศักยภาพด้านการลงทุนสำหรับจีนมาก
ยังไงๆ ก็ต้องผูกพันกับเวียดนามเอาไว้ด้วยเหตุผลทั้งด้านบวกและด้านลบ
วันนี้เวียดนามกลายเป็น “ฐานการลงทุนทางเลือก” ในภูมิภาคนี้
เพราะเมื่อจีนกับสหรัฐเผชิญหน้ากัน เพิ่มความเสี่ยงให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น หลายๆ บริษัทที่ต้องการจะลดความเสี่ยงก็มองหาฐานการผลิตและการค้าแทนจีน
เวียดนามเป็นทางเลือกที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุด (นอกเหนือจากอินโดฯ และไทย)
ระหว่างเยือนเวียดนามเมื่อเดือนกรกฎาคม รัฐมนตรีคลังสหรัฐบอกว่าเวียดนามเป็น “หุ้นส่วนสำคัญ” ในความพยายามลดการพึ่งพาจีน
นั่นหมายถึงการที่จะกระจายความเสี่ยงเรื่องห่วงโซ่อุปทาน (supply chains) เพื่อ “เป็นการลดความเสี่ยงจากช็อกระดับโลกและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หรือการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมสำคัญๆ”
นั่นแปลว่าเวียดนามเป็นตัวละครสำคัญสำหรับการเป็นกันชนในกรณีที่วอชิงตันกับปักกิ่งเกิดปะทะกันขึ้นจนไม่อาจจะไปมาหาสู่กันได้ตามช่องทางปัจจุบัน
การค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐปรับขึ้นไปที่ 139 พันล้านเหรียญฯ เมื่อปีที่แล้ว
เป็นรองก็เฉพาะการค้าระหว่างเวียดนามกับจีน ซึ่งเท่ากับ 230 พันล้านเหรียญฯ เมื่อปี 2022
วันนี้สหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับเวียดนามในการส่งออกเสื้อผ้า, รองเท้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ขณะเดียวกัน ในช่วงหลังนี้ นักลงทุนจีนก็มองเห็นเวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการตั้งโรงงานผลิตสินค้า
เหตุผลส่วนหนึ่งคือหลบหลีกมาตรการภาษีที่เพิ่มขึ้นหลังจากสหรัฐกับจีนเปิดฉากทำสงครามการค้าในปี 2018
แต่เวียดนามก็ยังมีจุดอ่อนในหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน, การขนส่ง (logistics), อุตสาหกรรมหนุนเนื่องและทรัพยากรมนุษย์
ความจริง จีนกับเวียดนามมีระบบการเมืองที่ละม้ายกัน เป็นคอมมิวนิสต์ที่มีระบอบการปกครองภายใต้พรรคเดียว
แต่เอาเข้าจริงๆ ในโลกทุกวันนี้ ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจย่อมอยู่เหนือความผูกพันด้านอุดมการณ์ทางการเมือง
ในแง่หนึ่ง เวียดนามต้องพึ่งพาทั้งสองมหาอำนาจ และทั้งสองยักษ์ใหญ่ก็ต้องการเวียดนามเพื่อรักษาดุลแห่งความมั่นคงและเศรษฐกิจ
เวียดนามกำลังเจรจาขอซื้อเครื่องบินรบ F-16 จากสหรัฐ
หากตกลงกันได้ จะเป็นข้อตกลงซื้อขายอาวุธที่ใหญ่ที่สุดของสองประเทศที่เคยทำสงครามกันมาก่อนในช่วงสงครามเย็น
สหรัฐก็ต้องการจะดึงเวียดนามเข้ามาในอ้อมกอดทางการทหาร เพื่อดึงให้ฮานอยออกจากรัสเซียอันเป็นแหล่งป้อนอาวุธยุทโธปกรณ์มายาวนาน
จีนย่อมจะมองการซื้อขายอาวุธระหว่างเวียดนามกับสหรัฐด้วยความระแวงคลางแคลง
อยู่ที่ฮานอยจะสามารถทำให้ปักกิ่งเชื่อได้ไหมว่าการซื้อขายอาวุธกับสหรัฐจะไม่กระทบความมั่นใจของจีนต่อเวียดนาม
สื่อจีนออกมาขวางลำทันที Global Times ออกบทวิเคราะห์ว่า การที่สหรัฐจะขายอาวุธให้เวียดนามนั้นเป็นการแสดงออกถึงเป้าหมายของวอชิงตันที่จะปิดล้อมจีน และบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคนี้
“...ซึ่งเวียดนามจะไม่ยอมรับง่ายๆ”
เป็นภาษาของฝ่ายจีนที่ยังไม่สร้างความร้าวฉานกับเวียดนามในตอนนี้
นักสังเกตการณ์บอกว่า เวียดนามคงจะยืนยันกับจีนว่า แม้จะซื้ออาวุธจากอเมริกาก็จะไม่เป็นภัยต่อจีน
เวียดนามยืนยันนโยบาย “4 ไม่” กับจีนมาตลอดนั่นคือ
ไม่มีพันธมิตรทางทหาร
ไม่เข้าข้างประเทศใดเพื่อต่อต้านอีกประเทศหนึ่ง
ไม่มีฐานทัพต่างชาติ
และไม่ใช้หรือขู่จะใช้กำลังกับประเทศอื่น
เชื่อกันว่าแม้จะไม่ซื้ออาวุธจากอเมริกา เวียดนามก็คงจะหันไปคุยกับฝรั่งเศส, อิสราเอลหรือเกาหลีใต้
เพราะเวียดนามกำลังต้องการจะพัฒนากองทัพให้ทันสมัยกว่าเดิมอยู่แล้ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


