ถ้านักการเมืองและ สส. จะพูดเรื่อง digital transformation ในที่สาธารณะต่อไปนี้ต้องทำการบ้านมากกว่านี้
วันก่อน ฟัง สส. รัฐบาลคนหนึ่งไปออกรายการทีวีกับ สส. รุ่นใหม่อีกคนหนึ่งก็เห็นภาพชัดเจนว่านักการเมืองรุ่นเก่าเจอนักการเมืองรุ่นใหม่มีสิทธิ “หน้าหงาย” หน้าจอได้ทันที
เพราะ สส. คนนั้นบอกว่ารัฐบาลแจกเงินหมื่นผ่าน digital wallet เพราะต้องการจะทำตามนโยบาย digital transformation
พอนักการเมืองรุ่นใหม่ถามว่า “Digital Transformation” คืออะไรครับ?
ก็ออกอาการ “ไปไม่ถูก” ขึ้นมาฉับพลัน!
ดังนั้น พรรคการเมืองทั้งหลายพึงสำเหนียกว่าต่อแต่นี้ไปจะให้คนของตนพูดอะไรแบบนกแก้วนกขุนทองโดยคิดเอาเองว่าประชาชนจะหลงชื่นชมความเก่งกล้าสามารถเพราะใช้ศัพท์แสงฝรั่งมาสร้างความประทับใจนั้นหมดสมัยแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Digital Transformation
หรือเรื่อง Soft Power หรือ Land Bridge ก็ตาม
เรื่องจะสร้างรัฐบาลที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะต้องฟังคนที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับของจริงอย่างคุณ “สมคิด จิรานันตรัตน์”ที่เป็นที่ปรึกษาของธนาคารกรุงไทยที่เคยอยู่เบื้องหลังหลายโครงการรวมถึง “เป๋าตัง”
ผมสัมภาษณ์คุณสมคิดมาหลายครั้งและได้ความรู้ความเข้าใจในหลายเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน
วันก่อน ผมอ่านเจอที่คุณสมคิดเขียนประเด็นนี้ในเฟซบุ๊กของท่านที่พยายามจะชี้ชวนให้รัฐบาลเข้าใจว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
จึงขอนำบางส่วนมาให้ได้อ่านเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
คุณสมคิดบอกว่า
“เราพูดกันเสมอว่าเราจะเข้าสู่สังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยมาเป็นเวลานับสิบปี ในทุกวันนี้ สิ่งที่เราเห็นว่าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยไปสู่ยุคดิจิทัล
ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นการที่เราอาศัยแพลทฟอร์มของต่างประเทศ เช่น การใช้ social media การดูข้อมูลข่าวสาร การใช้แผนที่การเดินทาง การเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ผ่าน line facebookinstagramyoutubegooglemapgooglesearchและ chatgptเป็นต้น
จะมีบ้างที่เป็นแพลทฟอร์มของคนไทยที่ทำได้ดีจนมีคนใช้จำนวนมากนั่นคือ เรื่องที่เกี่ยวกับการเงิน การธนาคาร ผ่าน mobile banking และ บริการของโครงการภาครัฐผ่านแอ๊ปเป๋าตัง เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าแต่ละเรื่องที่ให้บริการ ยังแยกส่วนกันอยู่เป็นส่วนใหญ่ และต่างคนต่างทำ ยังไม่ได้มีการอาศัยพลังซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดระบบนิเวศน์ทางด้านดิจิทัลอย่างแท้จริง
ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้มีการร่วมมือกันอย่างที่ควรจะเป็น เพราะต่างคนต่างอยากที่จะทำเอง และไม่ได้มีการคิดแบบองค์รวมที่ทำให้เกิดความร่วมมือที่ดีต่อกันได้ หรือบางหน่วยงานที่มีความสามารถทำแอ๊ปขนาดใหญ่ มีผู้ใช้จำนวนมาก ก็อาจไม่ได้ต้องการแบ่งปันผู้ใช้งานให้กับผู้อื่น เราจึงเป็นแบบต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างอยู่
หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งหน่วยงานของรัฐ ต่างต้องการที่จะสร้างแอ๊ปของตัวเอง เพราะอยากสร้างแบรนด์ อยากสร้างชื่อ อยากได้งบประมาณ และอยากอีกหลายๆอย่าง อาจเป็นได้ทั้งเหตุผลส่วนตัว และเหตุผลทางการเมืองอื่นๆ
แต่การที่จะทำเองทั้งหมดให้ได้ดีนั้น จะต้องใช้บุคลากร ทรัพยากร และความรู้ ความเชี่ยวชาญอีกมากที่จะทำให้สำเร็จได้
ตั้งแต่เรื่องการออกแบบสถาปัตยกรรมให้รองรับผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมากๆได้
การทำ KYC เพื่อพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน การพัฒนาที่ต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับความต้องการของผู้ใช้
การบริหารดูแลและจัดการทรัพยากรด้านคอมพิวเตอร์ให้มีจำนวนเพียงพอและทำงานให้ได้ดี ซึ่งต้องอาศัยบุคลากรที่มีประสบการณ์ และความรู้ ที่ต้องผ่านร้อน ผ่านหนาวมาก่อน
หลายๆ หน่วยงานมีงบประมาณในการจ้างทำ แต่คนในองค์กรมีความรู้ และความสามารถไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถบริหารจัดการอย่างต่อเนื่องได้ ทำให้ระบบที่จ้างเค้ามาทำ มีอายุค่อนข้างสั้น และจบตัวเองลงไปในที่สุด
ดังนั้น การที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ สร้างระบบนิเวศน์ที่ดี มีการอาศัยพึ่งพิงซึ่งกันและกันได้ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ คิดแบบที่เป็นระบบเปิด และออกแบบวิธีการเชื่อมต่อแบบเป็นมาตรฐาน จึงจะทำให้เราอาศัยซึ่งกันและกันได้ และเราสามารถเลือกทำเฉพาะส่วนที่ต้องการให้ความสำคัญ
ในที่นี้จึงมีข้อเสนอว่าหากเราแบ่งระบบ โดยคิดใหม่ให้เป็นระบบ 3 ชั้น
เราอาจไม่จำเป็นต้องทำแอ๊ปเองทุกส่วนด้วยตัวเอง แต่เลือกทำเฉพาะชั้นหรือ layer ที่เราถนัด โดยอาศัยการเติมเต็มชั้นอื่นๆจากผู้ให้บริการรายอื่นได้ ซึ่งเป็นการคิดแบบระบบเปิด โดยอาศัยการเชื่อมต่อระหว่างชั้นต่างๆที่เป็นระบบมาตรฐานเดียวกัน (open API) ซึ่ง ระบบ 3ชั้นที่ว่านี้ ขอเสนอดังนี้คือ
1.ชั้นที่รองรับผู้ใช้งาน (platform layer) คือส่วนที่ต้องทำการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ เก็บข้อมูลผู้ใช้ และมีระบบการยืนยันตัวตนผู้ใช้เมื่อมีการใช้งาน ผู้ที่จะทำชั้นนี้ได้ ควรเป็นแอ๊ปที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากอยู่แล้ว
และมีการออกแบบวิธีการใช้งาน และการเข้าถึงผู้ใช้ที่ดี ง่ายต่อการใช้งาน โดยหลังจากที่ผู้ใช้บริการพิสูจน์ตัวตนและได้รับการยอมรับแล้ว platform layerจะเก็บข้อมูลผู้ใช้พร้อมทั้งขอให้ผู้ใช้ให้ความยินยอม ผู้ใช้งานเองจะได้รับรหัสและวิธีการอื่นๆที่จำเป็น เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนเมื่อมีการใช้งานครั้งต่อๆไป
และเมื่อยืนยันตัวตนแล้ว ผู้ใช้งานจะสามารถเห็นบริการต่างๆ ที่เป็นของแอ๊ปนี้เอง หรือเป็นของผู้อื่นก็ได้ หากเป็นของผู้อื่น platform layerจะต้องส่งข้อมูลที่จำเป็นของผู้ใช้ไปให้กับผู้ให้บริการที่ผู้ใช้เลือก เพื่อที่จะสามารถให้บริการต่อไปได้ถูกคน ผู้ให้บริการรายนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ใช้ แต่สามารถอาศัย platform layer ที่น่าเชื่อถือทำหน้าที่นี้แทน
ตัวอย่างของแอ๊ปที่อาจทำหน้าที่เป็น platform layer ที่น่าเชื่อถือในประเทศไทยได้แก่ เป๋าตัง Kplusเป็นต้น
2.ชั้นที่ให้บริการ (service layer) คือส่วนที่ผลิตและดูแลบริการที่ต้องการให้ผู้ใช้ใช้งาน ผู้ให้บริการในชั้นนี้อาจไม่จำเป็นต้องตรวจสอบผู้ใช้งานเอง แต่ได้รับข้อมูลมาจากชั้น platform layer
โดยผู้ให้บริการอาจเลือกที่จะอาศัยอยู่ใน platform layer ที่เชื่อถือได้มากกว่าหนึ่งแห่งก็ได้ เมื่อได้รับข้อมูลผู้ใช้งานแล้ว ผู้ให้บริการสามารถให้บริการของตนเองแก่ผู้ใช้รายนั้น โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การกำกับของ platform layer โดยสามารถเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ และดูแลระบบบริการของตนเอง โดยที่ platform layer ไม่ต้องรับรู้เลยก็ได้
service layer อาจไม่จำเป็นต้องทำ services เองทั้งหมดก็ได้ อาจเลือกใช้บริการจากโครงสร้างพื้นฐานบริการบางตัวได้
เช่น สมมติว่าเป็น service layer ที่ให้บริการของภาครัฐ ที่ผลิตโดย Digital Government Agency (DGA) และเลือกไปอยู่ใน platform layer ที่มีอยู่แล้ว โดย DGA จะเลือกบริการของรัฐที่จำเป็นมาอยู่ในบริการนี้ บางส่วน DGA อาจจะพัฒนาเอง บางส่วน DGA อาจจะไปเรียกใช้บริการของภาครัฐที่มีอยู่แล้วและสร้างให้เป็นมาตรฐานการต่อเชื่อม(open API) ที่DGA ไปเรียกใช้ได้ และอาจเรียกใช้ระบบการชำระเงินที่เป็นระบบเปิดอื่นๆได้อีก
หากเป็นดังนี้ DGA ก็ไม่จำเป็นต้องทำ platform layer เอง แต่สามารถเลือกที่จะไปอาศัย platform layer ที่มีขนาดใหญ่และน่าเชื่อถือ ซึ่งอาจเลือกที่จะไปอยู่ใน platform layer มากกว่าหนึ่งแห่งได้เช่นกัน
ผู้ให้บริการอื่นๆ ก็สามารถมาอยู่ใน service layer ของ platform layerได้ เพื่อที่จะเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมากได้ง่ายขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสการเติบโตและสามารถลดความยุ่งยากต่างๆในการบริหารจัดการและเข้าถึงผู้ใช้งานได้
3.ชั้นโครงสร้างพื้นฐานบริการ (service infrastructure layer) เป็นชั้นที่ต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานบริการเฉพาะเรื่อง เช่น cbdc, digital assets, digital paper, government digital services เป็นต้น ชั้นนี้ต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานบริการที่คนอื่นๆสามารถนำไปต่อยอด ให้กับบริการของตัวเองได้ โดยผ่านการต่อเชื่อมที่เป็นมาตรฐาน (open API) เป็นการส่งเสริมเรื่องการใช้ทรัพยากรร่วมกัน การส่งเสริมเรื่องนวัตกรรม และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอนาคต เป็นต้น
ในมุมของผู้ใช้งานอาจจะรู้สึกว่าอยู่ใน platform เดียว และมีบริการที่หลากหลายอำนวยความสะดวกให้ ในมุมของผู้ให้บริการคือ การเข้าถึงผู้ใช้งานจำนวนมากโดยไม่ต้องออกแรงเองทั้งหมด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


