ตารางล่าสุดนี้บอกเราว่า ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยสมบูรณ์เต็มที่” แล้ว
และจะหนักขึ้นในปีต่อๆ ไป
คำถามใหญ่คือ รัฐบาลและสังคมไทยพร้อมสำหรับโครงสร้างประชากรเช่นนี้มากน้อยเพียงใด
ภาระของคนทำงานจะหนักขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากผู้บริหารประเทศไม่ศึกษาปัญหานี้ให้ถ่องแท้ และลงมือหามาตรการป้องกันและแก้ปัญหาที่มากับสังคมคนสูงวัยเช่นนี้ เราอาจจะเผชิญกับวิกฤตทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่รุนแรงกว่าที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ค่อนข้างแน่นอน
สถิติล่าสุดบอกว่า ในปี 2040 หรือจากนี้ไปอีกเพียง 16 ปี เราจะมีผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีถึง 26%
หรือประชากรไทยเกิน 1 ในจะมีอายุเกิน 65 คือถ้าให้เห็นภาพ อีกประมาณ 16 ปีเราจะมีประชากรสูงอายุเกือบเท่าญี่ปุ่นตอน 2020
ญี่ปุ่นกำลังเป็นภาพสะท้อนสังคม Hyper-Aged ทำให้เราพอจะเห็นภาพว่าเรากำลังต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ กับสิงคโปร์ที่เข้าสู่ Hyper-Aged Society ก่อนเรา เขาร่ำรวยกว่าเราเยอะ จึงหาทางดูแลสังคมได้ไม่ยากเกินไป
แต่ไทยเราขาดทรัพยากรด้านงบประมาณและแผนงานที่ชัดเจน จึงต้องตั้งหลักให้ดี
มิฉะนั้นจะต้องเจอศึกหนักกว่าที่เราคิดแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง คนญี่ปุ่นมีเงินออมมากกว่าเรา อีกทั้งยังเป็นหนี้น้อยกว่าเราอย่างมาก
วิกฤตที่เรากำลังเจอคือ “แก่ก่อนรวย” และหนี้ครัวเรือนสูงมาก อีกทั้งเงินออมก็น้อย แก่ตัวแล้วดูแลตัวเองไม่ได้ ลูกหลานก็เผชิญกับรายได้ไม่เพียงพอ
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไม่ทำเรื่องสวัสดิการต่างๆ ให้รอบด้านและมีประสิทธิภาพ นี่คือระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอเราอยู่ในอนาคตอันใกล้นี้
ความจริงก่อนหน้านี้ก็มีคำเตือนแล้วว่า ไทยกำลังจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged Society) ในปี 2565 ที่ผ่านมา
ส่วนวิจัยของธนาคารกสิกรไทยวิเคราะห์ไว้ว่า จากนี้อีก 8 ปีจะกลายเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด (Hyper-Aged Society) ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วกว่าญี่ปุ่น
80% ของประชากรสูงอายุ จะมีรายได้เฉลี่ยต่อปีระดับกลางลงล่าง
แต่ค่าใช้จ่ายจะมีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยมากกว่า 5% ต่อปี หรือไม่ต่ำกว่า 350,000 บาทต่อคนต่อปี
ซึ่งประเด็นปลายเปิดอยู่ที่ค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลที่เชื่อมโยงกับความเจ็บป่วย
สุดท้ายเราอาจต้องเตรียมทำงานนานขึ้น...หากออมไม่พอใช้
ไทย...กับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสุดยอดในอัตราที่เร็วกว่าญี่ปุ่น
รายงานนี้บอกว่า นับตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2564 เรียกได้ว่าประเทศไทยเป็นสังคมสูงอายุ (Aging Society)
หรือมีสัดส่วนจำนวนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 7% เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ ตามนิยามขององค์การสหประชาชาติ (UN)
โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา ประชากรไทยที่อายุ 65 ปีขึ้นไปมีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 9 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 12.8%
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนแล้ว ไทยมีสัดส่วนประชากรสูงอายุต่อประชากรทั้งหมด มากเป็นอันดับ 2 เป็นรองเพียงสิงคโปร์เท่านั้น
มองไปข้างหน้า ไทยถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged Society) หรือมีสัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นแตะ 14% ของประชากรทั้งหมดในปี 2565 เป็นอย่างเร็ว
เนื่องจากอัตราการเกิดของคนไทยมีแนวโน้มลดต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 10 ของประชากร 1,000 คน หรือมีจำนวนการเกิดเพียงประมาณ 6 แสนคนต่อปี
ด้วยเหตุผลเพราะการแต่งงานที่ช้าและความไม่ต้องการมีบุตรที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จำนวนการเกิดก็เริ่มมีอัตราที่ติดลบหรือหดตัวลงแล้ว
หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นอกจากจำนวนประชากรไทยจะเริ่มลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้ว ไทยน่าจะขยับขึ้นเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด (Hyper Aged Society) หรือมีสัดส่วนประชากรสูงอายุเข้าหา 20% โดยใช้เวลาเพียง 9 ปีหลังการเป็นสังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่รวดเร็วกว่าประเทศญี่ปุ่นที่ใช้ระยะเวลา 11 ปี
ปัญหาใหญ่คือ ประชากรสูงอายุส่วนใหญ่...ไม่รวย ขณะที่ค่าครองชีพเพิ่มปีละไม่ต่ำกว่า 5%
ท่ามกลางสังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์และแบบสุดยอด ประกอบกับภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังโควิด-19 ในกรอบ 2.5-4.0% ต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า จำนวนประชากรสูงอายุไทยที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีในระดับปานกลางขึ้นบน น่าจะมีสัดส่วนไม่ถึง 20% ของจำนวนประชากรสูงอายุทั้งหมด
ส่วนที่เหลืออีกกว่า 80% อาจมีรายได้เฉลี่ยต่อปีในระดับปานกลางลงล่าง
ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายของกลุ่มผู้สูงอายุน่าจะมีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยมากกว่า 5% ต่อปี หรืออาจอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 350,000 บาทต่อคนต่อปี
โดยค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นชัดเจน
สาเหตุจากการเสื่อมสมรรถภาพของร่างกายและความเจ็บป่วยจากโรค โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs: Non-Communicable Diseases)
เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง หลอดเลือดหัวใจ ปอดอักเสบ เป็นต้น ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และในบางคนก็อาจเจ็บป่วยหลายๆ โรคพร้อมกันด้วย
จากการประเมินมิติด้านจำนวน รายได้ และค่าใช้จ่ายข้างต้น ไม่เพียงสะท้อนว่าในที่สุดแล้วอัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) ต่อประชากรวัยทำงาน (อายุ 15-64 ปี) 100 คนของไทยจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยขยับเข้าหาระดับ 30 สำหรับการเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด
เทียบกับที่อยู่ที่ระดับใกล้ 20 ในช่วงของการเป็นสังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์
และหากเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนที่ยังมีระดับที่ต่ำกว่าไทยอยู่มาก ก็นับว่าเป็นแรงกดดันพอสมควรสำหรับเศรษฐกิจและตลาดแรงงานไทย
เพราะหมายความว่า ครอบครัวลูกหลานหรือผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุอาจเผชิญความท้าทายด้านกำลังซื้อที่มีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกรณีผู้สูงอายุบางส่วนที่อาจจะไม่มีครอบครัวลูกหลานหรือผู้ดูแล ก็คงจำเป็นต้องพึ่งพาสวัสดิการหรืองบประมาณของภาครัฐในการบริหารจัดการเพื่อให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้สามารถดำรงชีพได้ จึงอาจกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณเพื่อการอื่นๆ
ปัญหาก็คือ ทางเลือกมีจำกัด ถ้าไม่ทำงานนานขึ้น...ก็ต้องเก็บออมล่วงหน้าให้พอ
รายงานนี้บอกว่า จากทิศทางดังกล่าวเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้อายุการทำงานของประชากรไทยอาจมีแนวโน้มที่จะมากกว่า 65 ปี เพราะจำเป็นที่จะต้องมีรายได้มากพอสำหรับการยังชีพหลังเกษียณ
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อวิวัฒนาการและเทคโนโลยีอาจทำให้อายุขัยของคนยาวนานขึ้นกว่าอดีต
เพียงแต่ว่า การที่จะหางานที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยลงเมื่อเวลาผ่านไปคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยเช่นกัน
การหางานในวัยเกษียณคงยาก...
สิ่งที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้คือ สะสมเงินออมให้เพียงพอ ซึ่งแต่ละเดือนจะต้องเตรียมมากน้อยแค่ไหนสำหรับแต่ละคนนั้น ก็ขึ้นกับว่าเราอยากใช้ชีวิตสุขสบายเพียงใด
โดยขั้นต่ำที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ที่ 350,000 บาทต่อคนต่อปี ทอนมาเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ประมาณ 29,000 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งถือว่าไม่มากนักสำหรับการใช้ชีวิตในเมืองหลวง
ขณะที่หากต้องการความมั่นคงและการใช้ชีวิตที่สุขสบายเพิ่มขึ้น อาทิ รองรับค่าใช้จ่ายด้านความเจ็บป่วยโรคร้ายแรง (กรณีที่ไม่ได้มีสวัสดิการอื่นๆ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนนี้) ใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทาง ทานข้าวนอกบ้านได้บ่อยๆ รวมถึงมีการท่องเที่ยวตามที่ต้องการนั้น คงต้องจบลงด้วยการเพิ่มเงินออมล่วงหน้า ขณะที่อย่าลืมว่า...การเก็บสะสมเงินออมเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูง (แต่ยังปลอดภัยต่อเงินต้น) ก็ยังขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคลด้วย
ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


