เมื่อวานได้อ่าน ดร. พิสิฐ ลี้อาธรรม, อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, แสดงเหตุผลว่าแนวทางการ “กู้มาแจก” 5 แสนล้านบาทนั้นไม่ได้ผลแน่
แต่เห็นต่างอย่างเดียวไม่พอ ควรจะต้องเสนอทางเลือกให้รัฐบาลและประชาชนด้วย
ดร.พิสิฐ, ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย, บอกว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำเพื่อเพิ่ม GDP หรือผลผลิตมวลรวมของประเทศมีหลายประการ
นี่เป็นบางส่วนของข้อเสนอทางเลือกด้านนโยบายสำหรับรัฐบาลนายกฯเศรษฐา:
สิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการเพื่อเพิ่มตัวเลข GDP เฉพาะหน้าคือการเร่งรัดการใช้จ่ายของรัฐ
โดยเฉพาะงบประมาณรายจ่าย ที่ล่าช้าในปี 2567 เพราะเป็นตัวถ่วง GDPในปีนี้
หน่วยราชการมีการของบประมาณถึง 5.8 ล้านล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรในวงเงินเพียง 3.48 ล้านล้านบาท ยังมีอีก40% หรือ 2.32 ล้านล้านบาทที่ไม่ได้รับงบประมาณ
ซึ่งน่าจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อสร้างสาธารณูปโภคสาธารณูปการที่ช่วยประชาชนเพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตในการหารายได้
โดยเฉพาะเรื่องแหล่งน้ำในภาคเกษตร
การให้ความรู้แก่ประชาชนในการประกอบสัมมาชีพด้าน Digital Technology เป็นการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ
นอกจากนี้รัฐบาลควรเร่งรัดปรับแก้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารการเงินของประชาชน เช่น กฎหมายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกฎหมายสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารการเงินและหนี้สิน โดยไม่มีภาระใดๆต่องบประมาณแผ่นดิน
ในการบริหารเศรษฐกิจให้เติบโตต้องคำนึงถึงความยั่งยืนและต่อเนื่อง
ลำพังแค่การใช้เงินหมื่นบาทให้หมดเปลืองไปไม่กี่วัน ย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างเรื้อรังที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่างๆที่ระบุไว้ข้างต้นทั้ง 8 ประการได้ การบริหารเศรษฐกิจโดยคิดแต่จะปั้นGDPเพื่อกดสัดส่วนหนี้ต่อGDPก็ไม่น่าใช่วิธีคิดที่รอบคอบ และเป็นการใช้เงินที่ไม่คุ้มค่า
อีกประเด็นหนึ่งที่มีการถกแถลงกันอย่างกว้างขวางคือ “แหล่งที่มาของเงิน”
ดร. พิสิฐวิเคราะห์อย่างนี้
รัฐบาลขาดความชัดเจนเรื่องการชดเชย เงิน DW ว่าจะมาจากแหล่งใดซึ่งสร้างความสับสนหรือความไม่เชื่อมั่นต่อการบริหารการเงินการคลังของรัฐ เพราะขัดแย้งกับกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
ก. ในช่วงการหาเสียง ได้แจ้ง กกต(คณะกรรมการการเลือกตั้งว่า จะอาศัยการตัดรายจ่ายในงบประมาณ และการเพิ่มรายได้ภาษีอากร โดยไม่มีการกู้เงินหรือก่อหนี้ใดๆ ซึ่งได้รับการตอบรับด้วยดี เพราะแสดงว่ามีความรับผิดชอบทางการคลัง มีการยืนยันว่าต้องการแสดงความโปร่งใสตรงไปตรงมา
ข. ภายหลังการเลือกตั้ง ได้ชี้แจงว่า จะอาศัยการจัดเก็บรายได้ที่จัดเก็บได้เกินเป้า 1-2 แสนล้านบาทมาใช้
ผมแย้งว่ารายได้ที่เก็บได้เกินหรือต่ำกว่าเป้าหรือประมาณการรายได้ ได้เป็นส่วนหนึ่งของเงินคงคลังแล้ว ไม่อาจจะนำมากล่าวอ้างเพื่อชดเชยการใช้จ่ายใหม่ของรัฐบาลได้ เว้นแต่จะระบุในกฎหมายรายจ่ายว่าเป็นการใช้เงินคงคลัง
ค. ต่อมามีการให้คำชี้แจงว่า จะอาศัย 1. เงินยืมจากธนาคารออมสิน 2. วงเงินที่เหลือไม่ได้ใช้ตามมาตรา 28 แห่งพ.ร.บ วินัยการเงินการคลัง 3. เงินนอกงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ
ผมได้แย้งว่าเงินยืมจากธนาคารออมสิน ไม่น่าจะสมควรเพราะ เป็นสถาบันการเงินที่ตั้งมากว่า 100 ปีเพื่อสนับสนุนให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้การออม การที่รัฐก่อหนี้โดยนำเงินนี้มาให้ใช้เพื่อบริโภคจึงเป็นการไม่สมควร ต่อมากฤษฎีกาก็ชี้ว่ามาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ. ออมสินไม่ได้เปิดช่องให้รัฐบาลใช้เงินออมสินเพื่อการบริโภค
สำหรับการอ้างอิงมาตรา 28 แห่งพ.ร.บ วินัยการเงินการคลัง เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ
เพราะ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังมีไว้เพื่อตีกรอบไม่ให้รัฐบาลใช้เงินเกินตัว
ถ้อยคำในมาตรา 28 จึงไม่ได้ให้อำนาจรัฐบาลกู้เงิน
หากจะกู้เงินต้องไปดูมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ. หนี้สาธารณะซึ่งอนุญาตให้กู้เงินด้วยวัตถุประสงค์ 5 ประการ
แต่การกู้มาแจกหรือบริโภคไม่อยู่ในเงื่อนไขในการกู้เงินตามมาตรา 28 สำหรับการใช้เงินนอกงบประมาณนั้นก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบ เพราะบางส่วนรัฐอาจเรียกมาได้
แต่ถ้ามีจำนวนมากก็จะมีผลเสียต่อตลาดเงินตลาดทุนที่เงินเหล่านี้ไปลงทุนไว้
ง. เมื่อปลายเดือนตุลาคม มีการจัดสัมนาเรื่องนี้ที่วุฒิสภา ซึ่งมีที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงซึ่งได้ให้ข้อสรุปทิ้งท้ายว่าจะชดเชยการใช้เงิน DW ด้วยงบประมาณรายจ่าย 2567 แต่จะไปจ่ายเดือนกันยายน 2567 ไม่ใช่ กุมภาพันธ์ 2567 ตามที่เคยประกาศไว้
จ. ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะประกาศวิธีการชดเชยการใช้เงิน DW ก็มีการให้ข่าวจากรัฐบาลว่าจะอาศัยการผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะกระทำเป็นรายปี
ผมก็ได้ให้ความเห็นในงานเสวนาเรื่องนี้ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคมว่าเท่าที่ผ่านมารัฐบาลมีการดำเนินโครงการใหญ่ที่ต้องใช้เงินหลายปี
เช่น การก่อสร้างทางมอเตอร์เวย์ จึงมีการผูกพันงบประมาณปีต่อๆไป โดยมีข่าวว่าปีแรก 2567 จะใช้ 130,000 ล้านบาท (ซึ่งเท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มจากเดิมที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์เคยมีมติไว้ โดยรัฐบาลเศรษฐาให้เพิ่มยอดการขาดดุลอีก 100,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 30,000 ล้านบาทจะมาจากการปรับประมาณการรายได้ที่สูงขึ้นเพราะฐานรายได้ปี 2566 เก็บได้สูงกว่า)
แต่คราวนี้จะมีการผูกพันงบเพื่อการบริโภคซึ่งจะไม่มีข้อสัญญารองรับเฉกเช่นงบลงทุน เพราะเป็นการแจกเพื่อบริโภค รัฐบาลที่รับช่วงต่ออาจปฏิเสธไม่จัดงบให้ได้
ฉ. ล่าสุด นายกรัฐมนตรีก็ประกาศว่า จะตรา พ.ร.บ กู้เงิน 500,000 ล้านบาท โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ทำให้เกิดข้อเป็นห่วงใยหลายประการ
เช่น มาตรา 53 มีถ้อยคำระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นกรณีเร่งด่วนฉุกเฉินและวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ
หากไม่เข้าเกณฑ์นี้ก็จะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 140 เกี่ยวกับการใช้เงินแผ่นดิน นอกจากนี้ การขาดดุลภาครัฐที่เคยลดลงภายหลังจากที่ covid เบาบางลง จะกระโดดสูงเป็น 1.3 ล้านล้านบาท เทียบกับเมื่อก่อนเกิด covid ที่สูง 2-4 แสนล้านบาท
ดังนั้นหนี้สาธารณะในปี 2567 ย่อมขยายสูงขึ้นอึกเป็น 64% ของ GDP เทียบกับ 40% เมื่อก่อนเกิด covid
ถึงแม้ว่าสัดส่วนนี้ของไทยจะดูไม่มากใกล้กับประเทศในยุโรป แต่อย่าลืมว่ารายได้รัฐบาล ของชาวยุโรปมีสัดส่วนที่สูงมากถึง 30-40% ของ GDP เพราะมีอัตราภาษี VAT กว่าร้อยละ 20%
และอัตราภาษีเงินได้จะสูงและเป็นแบบขั้นบันได
ดังนั้นกำลังในการหารายได้ของรัฐบาลไทยที่ต่ำย่อมเป็นข้อจำกัดต่อการก่อหนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะไทยต่อรายได้รัฐบาลไทยจึงอยู่ในเกณฑ์สูงมาก
นี่คือแนวทางวิเคราะห์อย่างรอบด้านของหนึ่งในนักการเงินการคลังของประเทศที่รัฐบาลควรจะนำไปพิจารณา...แม้ว่าทางการจะตัดสินใจเดินบนเส้นทางแห่งความเสี่ยงอย่างยิ่งแล้วก็ตาม
การถอยเพื่อรักษาวินัยการคลังและการลด “ความไม่แน่นอนของแนวทางนโยบาย” ต้องเป็นแนวปฏิบัติของรัฐบาลที่รับผิดชอบ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


