นักการทูตไทยยุคดิจิทัล ต้องสร้างใหม่อย่างเร่งรีบ

ต่อแต่นี้ไป นโยบายต่างประเทศจะต้องมองให้ครบทุกมิติของประเด็นการเมือง, เศรษฐกิจ, ความมั่นคงและสังคมที่กำลังปรับเปลี่ยนไปอย่างหนักหน่วงและรุนแรง

จากที่รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศ ปานปรีย์ พหิทธานุกร มอบเป็นแนวทางและนโยบายแก่เหล่าบรรดาเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ ที่มารวมตัวกันที่กระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็พอจะเห็นว่ามุมมองและวิถีปฏิบัติของนักการทูตไทยต่อไปนี้จะต้องเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

พอวางแนวทางหลักและเป้าหมายแล้ว คุณปานปรีย์ก็วางยุทธศาสตร์ว่าเพื่อบรรลุเป้าหมาย จะต้องให้นโยบายต่างประเทศมีลักษณะหลักๆ ต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อย 4 แนวทาง คือ

1.นโยบายต่างประเทศต้องเกิดขึ้นที่ “บ้าน" (begins at home)

นั่นแปลว่า จะต้องสอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลที่มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ คือสามารถตอบสนองผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม และสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า กระทรวงการต่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ และสามารถทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดีได้

2.นโยบายต่างประเทศต้องเป็น “เชิงรุก" (proactive) โดยกล้าคิดริเริ่ม และแสดงบทบาทนำที่เด่นชัดในประเด็นระหว่างประเทศที่เป็นผลประโยชน์หลักของไทย และการสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งให้อาเซียน

3.นโยบายต่างประเทศต้อง “มองไปข้างหน้า" (forward-looking) โดยมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในการกำหนดวาระของโลก โดยเฉพาะในประเด็นที่เป็นจุดแข็งของไทยและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น การสร้างเสริม SDGs การเจรจา Pandemic Treaty  การขยายผล Universal Health Coverage (UHC) และการเจรจา Convention on Cybercrime

4.นโยบายต่างประเทศต้อง “ขยายวงและเข้าถึง" (reach out) โดยเข้าถึงขั้วอำนาจและประเทศต่างๆ ทั้งใกล้และไกล และเข้าถึงบุคคลและองค์กรที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายของประเทศต่างๆ

รวมทั้งเราควรใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือในระดับต่างๆ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ตลอดจนแสวงหาพันธมิตรใหม่ๆ รวมทั้งประเมินประโยชน์และโอกาสสำหรับไทยในการเข้าร่วมกรอบความร่วมมือต่างๆ เพื่อขยายบทบาทและเชื่อมต่อความสนใจของไทย

แล้วรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้คาดหวังจากการทำงานของทูตอย่างไร?

คุณปานปรีย์บอกว่า ทูตไทยจะต้องมีความเข้าใจในประเด็นการต่างประเทศ ในบริบทโลกปัจจุบันที่มีความหลากหลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี รวมทั้งห่วงโซ่อุปทาน

และต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพื้นที่ที่ประจำการ และบ่งชี้ให้ได้ว่าประเทศใดเป็นประเทศยุทธศาสตร์ของไทย

รวมทั้งโอกาสและผลประโยชน์ของไทยที่มีกับประเทศนั้นๆ       

และต้องเข้าหาภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน  รวมทั้งเข้าถึงศูนย์กลางทางอำนาจและบุคคลที่เป็นกุญแจสำคัญในเรื่องที่เป็นประโยชน์ของไทย

อีกทั้งยังต้องสามารถเสนอจุดเด่นกับจุดแข็ง และความน่าสนใจของประเทศไทยเพื่อนำไปสู่แนวหน้าของประชาคมระหว่างประเทศ

ให้เขาเห็นว่าประเทศไทยมีความสำคัญ (Thailand Matters)

โดยเฉพาะในประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเป็นประโยชน์กับไทย เช่น การยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ เศรษฐกิจสีเขียว, เศรษฐกิจดิจิทัล, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, พลังงานสะอาด และการพัฒนาที่ยั่งยืน

การบริการสาธารณสุขและการรับมือกับโรคระบาด  การลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริม soft power ที่มีมากกว่าอาหารไทยและมวยไทย

แต่ยังรวมถึงความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของไทย รวมทั้งจะต้องสามารถมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในประเด็นสำคัญอื่นๆ ได้ เช่น การออกมาตรการลงโทษ (sanction) ที่มีต่อประเทศที่สาม (เช่น เมียนมาและรัสเซีย) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อไทยและห่วงโซ่อุปทาน

และต้องไม่ลืมประเด็นการดูแลและคุ้มครองคนไทย รวมถึงผลประโยชน์ประเทศไทยในต่างประเทศ

คุณปานปรีย์ไม่ลืมที่จะพูดถึงความสำคัญของการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (social media) ที่กำลังแพร่หลายและมีผู้ติดตามในวงกว้างกว่าสื่อแบบดั้งเดิม

การทำงานของทูตและกงสุลใหญ่ในยุคนี้ จึงจำเป็นต้องมีข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แม่นยำและรวดเร็ว รวมทั้งต้องมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารเผยแพร่ข้อมูล หรือในบางกรณีอาจะต้องทำการตอบโต้ที่เหมาะสมเช่น กรณีการช่วยเหลือและอพยพคนไทยท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ซึ่งประชาชนมีความสนใจ มีความคาดหวัง และแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลายและแพร่หลาย

ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าทั้งหมดนี้คือ การดำเนินนโยบายต่างประเทศยุคใหม่เชิงรุกนี้จะต้องช่วยสนับสนุน “การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก” (economic  diplomacy) ซึ่งเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลด้วย

โดยคุณปานปรีย์ย้ำว่า นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้เดินทางไปเยือนกว่า ๑๑ ประเทศ และ ๑ เขตเศรษฐกิจ  และได้พบบริษัทเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บิ๊กเทค” เพื่อดึงดูดการลงทุนมายังไทยแล้วกว่า ๖๐ บริษัท

นอกจากนี้ยังจัดการประชุมระหว่างเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ และผู้ช่วยทูตฝ่ายพาณิชย์และฝ่ายส่งเสริมการลงทุน เพื่อร่วมกันหารือและชี้ประเทศเป้าหมายของการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกด้วย

ซึ่งเชื่อมั่นว่า ทูตทั้งหลายในฐานะหัวหน้า “ทีมประเทศไทย”

ในประเทศและเมืองต่างๆ พร้อมกับทีมเศรษฐกิจจากทั้งกระทรวงพาณิชย์และ BOI จะสามารถร่วมกันกำหนด

๑๐ ประเทศหลักทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกและผลประโยชน์ของไทย

นโยบายต่างประเทศเชิงรุก เพื่อเป็น “เข็มทิศ” ในการทำงานของพวกเราและทีมประเทศไทย เพื่อนำไทยกลับสู่

 “จอเรดาร์” ของโลกอย่างมีเกียรติภูมิ และตอบสนองผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนต่อไป

แนวทางทั้งหมดของรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่นี้จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่คุณภาพของคน

การสร้างนักการทูตยุคดิจิทัลเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องมีการ “ปฏิรูป” ครั้งใหญ่ เพื่อให้ได้คนมีคุณภาพที่มีคุณสมบัติแตกต่างไปจากนักการทูตรุ่นต่างๆ ที่ผ่านมา

เมื่อคุณปานปรีย์ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ก็คงจะต้องคอยดูว่าจะมีแนวทางการ “สร้างนักการทูต” ยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ยากๆ ของโลกยุคนี้ได้หรือไม่อย่างไร.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ