
วันนี้ผมจะเขียนเรื่องต่อจากสัปดาห์ที่แล้วที่ผมตั้งคำถามลอยๆ ว่า ทำไม Donald Trump ถึงครอบงำพรรค Republican ขนาดนี้
เรื่องชนะใจมวลชนของเขาคงไม่ได้อธิบายยากเย็นอะไร เหมือนอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถเข้าถึงใจกลุ่มคนที่รู้สึกว่าคนอื่นไม่เคยเข้าถึง ทาง Trump ก็ไม่ต่างกัน ประเด็นตรงนี้อธิบายด้วยตนเองและเข้าใจได้ครับ แต่ที่ผมสงสัยคือ การเมืองสหรัฐต่างจากการเมืองไทย ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคนอย่างคุณทักษิณครอบงำ หรือครอบคลุมแวดวงการเมืองไทยได้ เหตุผลชัดยิ่งกว่าอะไร ถึงแม้ไม่ได้เป็นเหตุผลที่น่าภาคภูมิใจก็ตาม
แต่ Trump ไม่ได้อยู่เหนือแวดวงการเมืองสหรัฐเหมือนคุณทักษิณในไทย แวดวงการเมืองในสหรัฐน่าจะครอบงำ หรือครอบคลุมยากกว่านี้ เอาเข้าจริง ถ้า Jeff Bezos หรือ Bill Gates เล่นการเมือง เขาจะยิ่งใหญ่กว่าพรรค (ที่เขาสังกัด) ได้เหรอ? ผมว่าไม่ได้ เพราะระบบพรรคเขายิ่งใหญ่กว่า และสังคมไม่ยอม ผมจึงแปลกใจว่า ทำไม Trump ยิ่งใหญ่กว่าพรรคได้ เขาไม่ได้เป็นนักธุรกิจอภิมหาเศรษฐีระดับ Bezos กับ Gates เขาไม่ได้รวยกว่าผู้บริจาคหรือผู้สนับสนุนพรรค เท่าไรนัก และเขาไม่ได้ทำความดีงามอะไรให้กับพรรคในช่วงเป็นประธานาธิบดีขนาดให้คนบูชาได้ แล้วทำไมครับ? ทำไมเขาสามารถกลับมาเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกรอบ? ผมงง
ถ้าปรึกษาและถาม 10 คนก็คงจะได้ 10 คำตอบ แต่ละคำตอบนั้นถูกหมด ไม่มีใครผิดครับ และผมก็ไม่มีคำตอบเหมือนกัน แต่ผมจะกระตุ้นข้อคิดพวกเราจากบทความนักรัฐศาสตร์ 2 ท่าน Daniel Schlozman กับ Sam Rosenfeld ที่เขียนหนังสือเรื่อง The Hollow Parties ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้พูดถึงกรณี Trump โดยตรง (เหมือนที่ผมตั้งคำถาม) แต่เขาอธิบายเหตุปัจจัยที่ทำให้เข้าข่ายคำถามผม
Schlozman กับ Rosenfeld วิเคราะห์ว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ความเป็นพรรคในสหรัฐ (Democrat กับ Republican) ค่อยๆ อ่อนแอลง จากที่เคยเป็น เครื่องจักรแห่งอำนาจที่ครอบคลุมแวดวงการเมือง เปลี่ยนมาเป็น เสือกระดาษ เพราะอำนาจไม่ได้อยู่ในพรรคเเล้ว อำนาจไปอยู่ที่ผู้สนับสนุน คณะกรรมการ PACS (Political Action Committees) กลุ่ม Lobbyist (ตามประเด็น) และสื่อ
สมัยก่อน ระบบ 2 พรรค (Republicans กับ Democrats) สามารถควบคุมสมาชิกพรรคได้ด้วยระบบ คณะกรรมการของพรรคมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายว่าผู้สมัครหรือสมาชิกคนไหนจะได้งบหาเสียงเท่าไหร่อย่างไร กรรมการบริหารพรรคสามารถทำให้ผู้สมัครคนนี้ เด่นกว่าคนนั้นได้อย่างง่ายดาย เพราะเขาควบคุมงบประมาณ ควบคุมนโยบาย และควบคุมทิศทางของพรรค ส่วนกระบวนการของพรรคในท้องถิ่นที่เปรียบเสมือนเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสหภาพ สาขาพรรค กลุ่มภาคประชาชนที่อยู่ในเครือข่ายและมีความจงรักภักดีต่อพรรค ทุกคนล้วนแต่ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน คือทำเพื่อพรรค และทำให้พรรคเดินหน้าต่อไป ดังนั้นใครจะเป็นผู้สมัคร (ระดับอะไรก็แล้วแต่) จะต้องมีแรงสนับสนุนจากหลายส่วนในพรรค
ถ้าจะว่าไปแล้ว อำนาจภายในพรรคคล้ายๆ กับระบบคอมมิวนิสต์ ที่มีคณะกรรมการกลาง มีอำนาจ (เกือบ) เบ็ดเสร็จ เงินบริจาคเข้าพรรค และคณะกรรมการกลางเป็นผู้มีอำนาจกระจายเม็ดเงินนั้นออกไป จะเรียกว่าตามใจชอบก็ไม่เชิง แต่ขอเรียกว่า ตามดุลพินิจตัวเองดีกว่า ดังนั้นอำนาจภายในพรรคเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จ และยิ่งใหญ่ โดยไม่ค่อยมีส่วนร่วมจากเสียงนอกพรรคเท่าไหร่นัก
แต่โลกหมุนไปเรื่อยๆ และวันเวลาเปลี่ยนตามโลก ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเริ่มออกมาแสดงความอึดอัดที่ไม่มีอำนาจตัดสินอะไรในการคัดเลือกผู้สมัคร เหมือนว่าต้องก้มหน้า และก้มหัวลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่พรรคยัดส่งให้ เขาโวยว่าควรมีส่วนร่วมมากกว่านี้ เลยเป็นที่มาของระบบ Primary
ระบบ Primary ทำให้อำนาจเบ็ดเสร็จดั้งเดิมที่สาขาพรรคมีในการคัดเลือกผู้สมัคร ลดลงวูบเลยครับ เพราะสิ่งที่มาควบคู่กับ Primary ในแต่ละเขตก็คือความสนใจของสื่อ และการทำข่าว ถือว่า เป็นการสร้างระบบตรวจสอบในตัว ที่บังคับให้พรรคต้องเปิดเผยและเป็นพรรคที่โปร่งใสมากกว่าที่เคยเป็นเมื่อก่อน ที่ผู้ใหญ่ในพรรคไม่กี่คนมีอำนาจเลือกผู้สมัคร โดยไม่ต้องโปร่งใสกับใคร และไม่มีใครตรวจสอบได้ พอมีระบบ Primary และสื่อเข้ามาสนใจ ขั้วอำนาจเดิมต้องค่อยๆ หายไป
พอระบบการเมืองเข้าสู่ยุคโปร่งใสมากขึ้น ผ่านสายตาสื่อนั้น บทบาทของกลุ่ม นักเคลื่อนไหวประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Lobbyist หรือนักเคลื่อนไหวโดยทั่วไป เริ่มมีบทบาท เริ่มหาที่ยืน และเริ่มมีอำนาจมากขึ้น ที่ผู้สมัครต้องใส่ใจเพื่อหาคะแนนสนับสนุน
พอสื่อเข้ามามีบทบาท อุตสาหกรรมสื่อก็ตามมา ซึ่งหมายความว่าต่อเมื่อสื่อให้ความสนใจมากขึ้น ผู้สมัครแต่ละคนต้องหาวิธีชิงความสนใจของสื่อ และในการหาวิธีชิงความสนใจนั้นไม่ได้เป็นลมทั่วไปที่ลอยในอากาศฟรีๆ นะครับ มันต้องใช้เงิน ซึ่งผมไม่ได้หมายความว่า ใช้เงินจ่ายใต้โต๊ะ แต่มันต้องใช้เงินในการจ้างทีม จัดอีเวนต์ออกสื่อ ไม่งั้นผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เห็น แล้วไม่รู้จัก พอต้องใช้เงินเยอะ งบหาเสียงพุ่งกระฉูดตามมา จึงทำให้สภาคองเกรสออกกฎหมาย ตั้งเพดานเงินบริจาคหาเสียง
อันนั้นเป็นที่มาของการก่อตั้งกลุ่ม PACs ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรรคอย่างเป็นทางการ แต่เป็นองค์กรที่รวมเงินสนับสนุนเพื่อกระจายให้กับผู้สมัครด้วยตนเองได้ เงินสนับสนุนจะใช้ในการสนับสนุนผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง หรือจะใช้เพื่อต่อต้านผู้สมัครฝั่งตรงข้ามก็ได้ เงินสนับสนุนจะสนับสนุนผู้สมัคร หรือสนับสนุน ประเด็น ก็ได้เช่นเดียวกัน ที่ผมบอกว่า “ประเด็น” ก็คือ เงิน PACs อาจทุ่มเรื่องที่ทางพรรคอยากให้ผู้สมัครทุกรายโหนเพื่อไปทิศทางเดียวกัน
ปัจจัยเหล่านี้เป็นเหตุทำให้พรรคในสหรัฐยิ่งใหญ่น้อยลงกว่าในอดีตเยอะ แต่มันไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด แต่มันเริ่มทำให้เราเข้าใจคำถามที่ผมตั้งไว้ สัปดาห์หน้าผมเขียนต่อในเรื่องนี้ครับ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
SEA Games แบบไทยๆ
คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ
ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?
“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”
'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?
เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า
'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน
SNAP ดีหรือไม่ดี?
ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม
Back to the Future…
กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน

