เมื่ออินเดียจับ ‘พิราบ’ ในข้อหา ‘จารชน’ จากจีน

การ์ตูนล้อเลียนชิ้นนี้ปรากฏในสื่อทางการจีน Global Times ที่ประชดประชันเสียดสีอินเดียเรื่อง “นกพิราบสอดแนม” ที่ถูกจับเป็น “ผู้ต้องหา” อยู่นาน 8 เดือนเพราะสงสัยเป็น “สายลับ” จากจีน

อาจฟังดูเป็นเรื่องขบขัน แต่เป็นข่าวที่มีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดา เพราะความสัมพันธ์ของสองยักษ์แห่งเอเซียเป็นเรื่องที่ฝังรากลึกมายาวนานย้อนกลับไปประวัติศาสตร์หลายร้อยปี

สัปดาห์ก่อน วันที่ตำรวจอินเดียออกข่าวว่าได้ปล่อยนอกพิราบผู้โชคร้ายตัวนั้นไปแล้ว ผมเขียนขึ้นเฟซบุ๊กว่า

พิราบสายลับ’!

คดีขบขันนี้จบลงแบบหักมุม!

ตำรวจอินเดียเพิ่งปล่อยนกพิราบที่ถูกสงสัยว่าเป็น ‘สายลับจีน’ หลังถูก’กักตัว’นาน 8 เดือน

โดยปล่อยมันออกสู่ป่าเมื่อวันอังคาร สำนักข่าว Press Trust of India รายงาน กรณีประหลาดว่าด้วย ‘นกพิราบสายลับ’ นี้เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว

นกตัวนี้ถูกจับได้ใกล้ท่าเรือแห่งหนึ่งในมุมไบเพราะมีห่วงสองวงผูกอยู่ที่ขาและที่มีตัวหนังสือที่ดูเหมือนภาษาจีน 

ตำรวจอินเดียตั้งข้อสงสัยว่านกตัวนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจารกรรม จึงส่งไปที่โรงพยาบาลสัตว์ Bai Sakarbai Dinshaw Petit ในเมืองมุมไบ

ในที่สุด การสอบสวนพบว่านกพิราบตัวนั้นเป็นนกแข่งจากไต้หวันที่หลงเข้าอินเดีย

เมื่อได้รับอนุญาตจากตำรวจ นกผู้ต้องหาก็ถูกย้ายไปยังสมาคมบอมเบย์เพื่อการป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ ท้ายที่สุดสัตวแพทย์ปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

สื่อจีนก็รายงานเรื่องนี้เป็นการใหญ่เพื่อจะตอกย้ำว่าฝ่ายอินเดียทำอะไรเกินเหตุ มีความระแวงสงสัยในทุก ๆ เรื่องทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันเลย

แต่กรณี “นกพิราบสายลับ” นี้ก็ใกล้เคียงกับที่สหรัฐฯกล่าวหาว่าจีนส่งบอลลูนไปลอยล่องเหนือท้องฟ้าสหรัฐฯเมื่อเร็ว ๆ นี้

ตอนนี้วอชิงตันกล่าวหาว่าจีนส่งบอลลูนพร้อมซ่อนเครื่องไม้เครื่องมือจารกรรมด้วย 

สหรัฐฯตัดสินใจยิงบอลลูนร่วงลงมา สอบสวนไปมาก็หาหลักฐานไม่ได้ว่าเป็นการสอดแนมแต่อย่างใด

จีนชี้แจงว่าเป็นบอลลูนสำรวจอากาศที่พลัดหลงเพราะลมพัดผิดทิศทาง แต่อเมริกาไม่เชื่อ กลายเป็นเรื่องกึ่งเฮฮาระหว่างยักษ์ใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง

แต่กรณีอินเดียกับจีนมีประวัติแห่งความร้าวฉานจริง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องตลก

เมื่อปีสองปีก่อนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็มีอันถดถอยลง เพราะการเผชิญหน้ากันตรงชายแดนอันเป็นข้อพิพาทในภูมิภาคหิมาลัย

สาเหตุมาจากข้อพิพาทชายแดนที่มีความยาว 3,440 กม.ซึ่งไม่มีการกำหนดที่ชัดเจนมายาวนาน ธรรมชาติของแม่น้ำ ทะเลสาบ และหิมะที่ปกคลุมตามแนวชายแดนทำให้แนวรบเปลี่ยนไป ส่งผลให้ทหารต้องเผชิญหน้ากันในหลายๆ จุด ก่อให้เกิดความตึงเครียดเป็นระยะ ๆ

ทั้งสองประเทศแข่งขันกันเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามแนวชายแดน  เรียกอีกอย่างว่า “แนวควบคุมตามความเป็นจริง”

การก่อสร้างถนนสายใหม่ของอินเดียไปยังฐานทัพอากาศบนที่สูงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการปะทะร้ายแรงกับกองทหารจีนในปี 2020

ถ้าถามว่าตอนนั้นสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน? ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างจะน่ากังวลหากบานปลายกลายเป็นสงครามกันจริง ๆ

แม้จะมีการพูดคุยในระดับทหาร แต่ความตึงเครียดยังคงดำเนินต่อไป ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2022 กองทหารปะทะกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่าหนึ่งปี

เหตุเกิดขึ้นใกล้กับเขตตะวัง ของรัฐอรุณาจัลประเทศ ปลายด้านตะวันออกของอินเดีย ทหารบางส่วนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

ก่อนหน้านั้นเกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ในเดือนมิถุนายน 2020  เป็นการสู้รบในหุบเขากัลวาน ซึ่งใช้ไม้และกระบอง ไม่ใช่ปืน

ถือเป็นการเผชิญหน้ากันที่ร้ายแรงครั้งแรกระหว่างทั้งสองฝ่ายนับตั้งแต่การปะทะรุนแรงเมื่อปี 1975

ตอนนั้น ทหารอินเดียตายอย่างน้อย 20 นายและจีนเสียชีวิต 4

การเผชิญหน้ารอบหลังนี้เกิดในเดือนมกราคม 2021 ทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บ เกิดขึ้นใกล้กับรัฐสิกขิมของอินเดีย ระหว่างภูฏานและเนปาล

ในเดือนกันยายน 2021 จีนกล่าวหาว่าอินเดียยิงปืนใส่กองทหารของตน อินเดียกล่าวหาจีนว่ายิงขึ้นไปในอากาศ

นั่นถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 45 ปีที่มีการยิงกันที่ชายแดน

ก่อนหน้านี้มีข้อตกลงระหว่างทั้งสองประเทศในปี 1996 ห้ามใช้ปืนและวัตถุระเบิดใกล้ชายแดน

ในเดือนเดียวกัน ทั้งสองตกลงที่จะถอยกองกำลังของตนออกห่างจากพื้นที่ชายแดนหิมาลัยทางตะวันตกที่เป็นข้อพิพาท

หากมองในภาพใหญ่ของความขัดแย้งก็จะเห็นว่าทั้งสองประเทศต่อสู้กันในสงครามใหญ่เพียงครั้งเดียวในปี  1962 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียประสบความพ่ายแพ้อย่างเกือบจะหมดรูป เป็นรอยแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกของคนอินเดียหลายกลุ่มมาตลอด

แต่ความตึงเครียดที่คุกรุ่นขึ้นในช่วงหลังนี้ทำให้เกิดความกลัวถึงความเสี่ยงที่จะบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่

เพราะทั้งสองยักษ์แห่งเอเชียต่างก็เป็นมหาอำนาจทางพลังนิวเคลียร์

และจะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อกันอย่างปฏิเสธไม่ได้

เพราะจีนเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย

ความขัดแย้งทางทหารสะท้อนให้เห็นจากความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น

ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดีย และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนมีความไม่ปกติไปด้วย

แม้ทั้งสองจะแสดงความอบอุ่นในการพบปะกันในช่วงหลังต่อสาธารณะ แต่ลึก ๆ แล้วทั้งปักกิ่งและเดลฮีก็ยังจับจ้องกันด้วยความระแวดระวังในหลาย ๆ ประเด็นที่มีผลต่อทั้งภูมิภาคและทั้งโลก

สะท้อนจากการที่อินเดียจับนกพิราบ (ซึ่งควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ) เป็น “ผู้ต้องสงสัย” ว่าเป็น “นกสายสืบ” จากจีน

กว่าจะปล่อยเจ้านกพิราบผู้น่าสงสารให้เป็นอิสระได้ก็ทำให้เกิดกรณี “ทารุณสัตว์” อีกด้วย!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ