ถ้านาโตรบกับรัสเซีย?

ใครจะมีรถถัง, เครื่องบิน, เรือดำน้ำ, ขีปนาวุธพิสัยไกล, มากแค่ไหน หรือมีกองกำลังใหญ่หรือเล็กเพียงใดก็อาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่าใครจะกดปุ่มนิวเคลียร์ก่อนกัน

ปูตินใช้วิธีบลัฟด้วยนิวเคลียร์

และนาโตก็โต้ด้วยการยันว่ารัสเซียจะต้องถอนออกไปจากยูเครนเพื่อยังสามารถรักษาความเป็นรัสเซียอยู่ได้ต่อไป

อีกภาพหนึ่งเป็นการสมมุติว่าหากสมาชิกนาโตจะส่งทหารเข้าไปในยูเครนจะเป็นไปในลักษณะใด

แผนที่ปรากฏทางออนไลน์นี้ไม่รู้ที่มาที่ไป

แต่ก็เป็นหนึ่งในฉากทัศน์ของความเป็นไปได้

หากเป็นไปตามภาพนี้ก็จะเห็นการเคลื่อนกำลังทหารของนาโตเข้ายูเครน

เป็นการเดาว่าเหล่าบรรดาผู้บัญชาการทหารของนาโตจะแบ่งหน้าที่และวางกำลังในยูเครนอย่างไร

แผนที่นี้บ่งชี้ว่าแต่ละสมาชิกนาโตจะมีการกระจายกองกำลังอย่างไร โดยเฉพาะตามแนวชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของยูเครน ใกล้เบลารุส

นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าว่าโอเดสซาซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของยูเครนอาจอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเจ้าหน้าที่ทหารจากโรมาเนียและบัลแกเรีย

ภาพนี้ไม่ได้ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ทางการของใครทั้งสิ้น หากแต่เป็นการคาดเดาสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นหากมาถึงจุดที่นาโตตัดสินใจส่งทหารเข้ายูเครน

เพื่อระงับยับยั้งไม่ให้รัสเซียรุกคืบหนักไปกว่าที่เห็นอยู่ในขณะนี้

ท่ามกลางความเชื่อที่ว่าทหารยูเครนกำลังเพลี่ยงพล้ำ หากปล่อยให้สู้อย่างนี้ต่อไป แม้จะมีการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปเพิ่มให้ก็อาจจะไม่สามารถพลิกสถานการณ์ให้รัสเซียต้องถอยร่นกลับบ้านในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

สัญญาณน่ากังวลมาจากหลายทิศทาง

ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เพิ่งประกาศว่าองค์กรนาโตอาจถูกลากเข้าสู่สงครามกับรัสเซีย “หากกองกำลังของวลาดิมีร์ ปูตินไม่หยุดอยู่ในยูเครน”

และย้ำความเชื่อที่ว่าปูตินจะไม่หยุดถ้ายูเครนแพ้ซึ่งแกลว่ารัสเซียชนะสงคราม

ออสตินบอกว่าหากถึงจุดนั้นก็แปลว่านาโตก็จะตกอยู่ในภาวะของความขัดแย้งกับรัสเซียอย่างแน่นอน

รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯบอกคณะกรรมาธิการทหารทหารของสภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรครีพับลิกันเป็นแกนนำว่า "เรารู้ว่าหากปูตินประสบความสำเร็จที่นี่ เขาจะไม่หยุด เขาจะยังคงปฏิบัติการเชิงรุกมากขึ้นในภูมิภาคนี้"

และเสริมว่าหากรัสเซียชนะสงคราม ก็จะทำให้ผู้นำชาติอื่นคิดว่าถ้าปูตินรุกรานประเทศอื่นได้ พวกเขาก็ทำได้เหมือนกัน

นั่นคือสภาพการณ์ที่ยอมรับไม่ได้ เพราะปูตินจะทำเรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม

หากเป็นเช่นนั้นอเมริกาก็ไม่อาจจะยืนอยู่บนหลักการว่าจะสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยในโลกได้อีกต่อไป

ออสตินบอกว่าเขาเชื่อว่าอย่างไรเสียนาโตก็สามารถต่อสู้กับรัสเซียได้

 “หากคุณเป็นรัฐบอลติก คุณจะกังวลจริงๆ ว่าคุณจะเป็นรายต่อไปหรือไม่” เขากล่าว

ออสตินบอกว่า "พวกเขารู้จักปูติน พวกเขารู้ว่าเขามีความสามารถอะไร และพูดตรงๆ หากยูเครนล่มสลาย ผมเชื่อจริงๆ ว่านาโตจะต้องต่อสู้กับรัสเซีย"

คำกล่าวของออสเตินมีขึ้นหลังจากสภาคองเกรสปฏิเสธคำของบประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์ที่เสนอโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อช่วยเหลือกองทัพยูเครน

แม้ว่าจะมีแนวโน้มว่าสภาคองเกรสจะผ่านงบนี้ แต่ก็ไปติดอยู่กับการต่อรองและโต้เพียงเรื่องงบความมั่นคงชายแดนของสหรัฐฯ

เพราะรีพับบลิกันต้องการจะแลกกับการที่ทำเนียบขาวจะยอมผ่านงบสำหรับการสกัดไม่ให้คนต่างชาติหลบหนีเข้าเมืองไปจำนวนมาก

ประธานาธิบดีไบเดนบอกว่าหากรัสเซียชนะสงครามยูเครน มอสโกก็อาจจะจ้องมาที่สมาชิกนาโตเป็นรายต่อไป

ส่วนปูตินก็อ้างว่ากองกำลังนาโตกำลังเตรียมพร้อมที่จะโจมตีดินแดนรัสเซีย

พร้อมกับเตือนว่าขณะนี้พลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซียอยู่ในสภาพ”พร้อมเต็มที่” สำหรับสถานการณ์ใดก็ตามที่จำเป็นต้องใช้อาวุธร้ายแรงทุกอย่างที่รัสเซียมีอยู่ในคลังแสงอาวุธ

แน่นอนว่าภาพการรบระหว่างนาโตกับรัสเซียเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงด้วยประการทั้งปวง

เพราะความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการได้

แต่การจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางอาวุธระหว่างรัสเซียกับนาโตได้นั้นแปลว่าจะต้องมีการเจรจาสงบศึกยูเครนให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อน

ความเป็นไปได้เช่นนั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริงมากโขอยู่

แต่หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพียงแค่ประเมินความหายนะที่จะเกิดหากเข้าสู่โหมดสงครามภูมิภาคยุโรป ก็น่าจะสรุปได้ตั้งแต่ตอนนี้ว่า “อย่าหาเรื่องทำลายล้างกันเองเลย, เจ้ามนุษย์ปากเหม็นเอ๋ย”!