
ถ้าจีนเลือกได้จะอยากให้ใครชนะเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปลายปีนี้ "โจ ไบเดน "หรือ "โดนัลด์ ทรัมป์" ?
คำตอบคือถ้า สี จิ้นผิง เลือกได้คงจะไม่เอาทั้งสองคน แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็ต้องปรับตัวให้อยู่กับใครก็ตามที่ยึดทำเนียบขาวได้
ในแง่ด้านความมั่นคง พันธมิตรระดับภูมิภาค เช่น Quad Partnership และ AUKUS คาดว่าจะยืนหยัดมั่นคงเช่นกันภายใต้การบริหารของไบเดนมากกว่าทรัมป์
ปักกิ่งได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความคับข้องใจต่อการซ้อมรบของสหรัฐฯ ในย่านนี้
“สหรัฐฯ ได้คิดค้นยุทธวิธีต่างๆ เพื่อปราบปรามและควบคุมจีน และเพิ่มรายการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวตลอดเวลา จนไปถึงระดับที่น่าสับสนอย่างไร้สาระที่ไม่อาจหยั่งถึงได้" หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวในงานพบปะสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 7 มีนาคม
“หากเกิดความกระวนกระวายใจทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าจีน ความมั่นใจในฐานะประเทศใหญ่จะอยู่ที่ไหน”
แต่ภายใต้การนำของทรัมป์ ยุทธศาสตร์ควบคุมสหรัฐฯ ต่อจีนจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ทรัมป์ชอบประกาศลงโทษจีนฝ่ายเดียว ไม่ต้องมีการเจรจาต่อรองใดๆ กันก่อนทั้งสิ้น
เป็นยุทธวิธี “ยิงก่อนถาม”
ตอนที่ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เขาถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงและองค์กรระหว่างประเทศหลายเรื่อง
รวมถึง TPP หรือหุ้นส่วนความร่วมมือภาคพื้นแปซิฟิก WHO องค์การอนามัยโลก และ Paris Agreement ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ส่วนไบเดนก่อตั้ง “กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรือง (IPEF)” เมื่อสองปีที่แล้วเพื่อจะคานอำนาจกับ BRI หรือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน
โดยที่สหรัฐฯ ชักชวนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 7 ประเทศมาร่วม
ส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นป้อมปราการระดับภูมิภาคของโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน
ถ้าทรัมป์มาก็คงจะยกเลิกความริเริ่มของไบเดนเรื่องนี้
แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครคาดเดาว่าทรัมป์จะวางจุดยืนของตัวเองอย่างไร เพราะเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา
โดยทางการแล้ว จีนจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการเลือกตั้งของประเทศอื่น
หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน บอกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถือเป็นกิจการภายในของสหรัฐฯ
“ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป เราหวังว่าฝ่ายสหรัฐฯ จะทำงานร่วมกับจีนเพื่อพบกันครึ่งทาง และผลักดันความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ไปสู่การพัฒนาที่มั่นคง แข็งแรง และยั่งยืน บนหลักการของการเคารพซึ่งกันและกัน สันติสุขร่วมกัน การดำรงอยู่และความร่วมมือแบบ win-win”
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปักกิ่งยืนอยู่ตรงกลางระหว่างไบเดนกับทรัมป์
ไบเดนเรียกนายสีว่าเป็น “เผด็จการ” หลายต่อหลายครั้งในที่สาธารณะ
ทรัมป์เคยบอกว่าสี จิ้นผิง เป็นคนที่คบได้ เคยแม้แต่บอกว่าเขาอิจฉาที่ผู้นำจีนมีอำนาจสั่งการได้ค่อนข้างจะเด็ดขาด
แต่นั่นไม่ได้สกัดกั้นการที่ทรัมป์ประกาศสงครามการค้ากับจีนอย่างดุเดือด เพื่อรักษาฐานเสียงของตนในอเมริกา
ทรัมป์ไม่ได้ยกย่องสีแต่เพียงคนเดียว
เขาเคยแสดงความชื่นชมผู้นำที่ถูกวิจารณ์จากประเทศอื่นๆ มากมาย เช่น คิม จองอึน ของเกาหลีเหนือ, วิกเตอร์ ออร์บาน ของฮังการี และวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย
แต่หากไบเดนชนะเลือกตั้งอีกครั้ง เขาก็อาจทำให้เกิดความต่อเนื่องและการคาดการณ์ได้ในระดับหนึ่ง
อย่างน้อยไบเดนก็เคยพูดถึงการสร้างกลไกที่จะป้องกันไม่ให้การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจกลายเป็นความขัดแย้งเกินเหตุ
แต่ภายใต้การนำของทรัมป์ ความสัมพันธ์ทวิภาคีของทั้งสองประเทศอาจมีปัญหาว่าจะมีความเสถียรเพียงใด
มีความเป็นไปได้ว่าถ้าทรัมป์กลับทำเนียบขาว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอาจจะฟื้นกลับมาไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง
แต่ในวิกฤตก็ย่อมมีโอกาส
หากทรัมป์กลับทำเนียบขาวได้และประกาศเลิกสนับสนุนยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย ก็อาจจะเปิดโอกาสให้จีนเล่นบทผู้ไกล่เกลี่ยได้คึกคักขึ้น
ตัวอย่างที่ผ่านมา สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงหุ้นส่วนภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ในปี 2017 ระหว่างที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
มาถึงวันนี้อเมริกาซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะไม่อยู่ในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (CPTPP) ที่ต่อยอดจาก TPP
จีนก็เสนอตัวเองเข้าไปสวมบทนี้แทน
ต้องไม่ลืมว่าทรัมป์เคยกล่าวโทษปักกิ่งว่าโควิด-19 มาจากห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของจีน
ทำให้จีนไม่พอใจมาตลอดในประเด็นนี้
“สหรัฐฯ จะต้องไม่ท้าทาย ใส่ร้าย หรือแม้แต่พยายามที่จะล้มล้างเส้นทางและระบบสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะของจีน” รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีนกล่าวไว้
และเสริมว่าสหรัฐฯ จะต้องไม่พยายามขัดขวางหรือขัดขวางกระบวนการพัฒนาของจีน หรือละเมิดอธิปไตยของรัฐจีน หรือทำลายบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน โดยสิ่งสุดท้ายถูกมองว่าเป็นการเตือนอย่างปกปิดเกี่ยวกับไต้หวัน
โดยในประเด็นไต้หวัน ไม่มีใครรู้ว่าทรัมป์จะเอาอย่างไรถ้ากลับเข้าทำเนียบขาว
แต่ที่แน่ๆ คือไบเดนจะยืนหยัดในการยืนเคียงข้างไต้หวันต่อไปค่อนข้างแน่นอน
แต่ในท้ายที่สุด ปักกิ่งก็รู้ว่าการเมืองสหรัฐฯ จะเปลี่ยนไปตลอดทุก 4 ปี
จึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวไปตามกระแสการเมืองระหว่างประเทศ
ซึ่งต้องถือว่าจีนได้บทเรียนมามากพอในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ว่าจะยืนหยัดในหลักการอย่างไร สหรัฐฯ จึงจะเคารพในความเป็น “มหาอำนาจหมายเลข 2”
ไม่ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปจะชื่ออะไรก็ตาม!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

