สิ่งที่เรียกว่า “วิกฤตเพดานหนี้” ของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ นั้นยังต้องลุ้นกันต่อ
แม้ว่าพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับพรรครีพับลิกันฝ่ายค้านจะบรรลุ “การประนีประนอม” ยอมเลื่อน “เส้นตาย” จากตุลาคมนี้ไปเป็นต้นธันวาคม แต่การต่อรองทางการเมืองระหว่างสองพรรคใหญ่ยังไม่จบ
เดิมคนทั่วโลกกำลังรอคอย “วิกฤตเพดานหนี้” ของสหรัฐฯ ที่กำหนดเส้นตายไว้ว่าจะต้องออกหัวออกก้อยวันที่ 18 ตุลาคมนี้
จะถึงขั้นที่ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลกไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงานรัฐบางส่วนหรือไม่
เพราะทั้งสองพรรคทะเลาะกันว่าการยกเพดานเงินกู้ หรือ debt ceiling นั้นเป็นความรับผิดชอบของใคร
ฝั่งเดโมแครตยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ทั้งสองพรรคต้องร่วมกันหาทางออก ไม่ควรให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตหนี้เพียงเพราะฝ่ายค้านจะเล่นการเมือง
เพราะทั้งสองพรรคขณะที่เป็นรัฐบาลก็กู้เงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณกันทั้งนั้นแหละ
สมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีนั้น พรรครีพับลิกันเคยลงมติด้วยเสียงข้างมากในสภาให้ระงับการใช้เพดานหนี้ชั่วคราว เพื่อรัฐบาลจะได้กู้เงินเพิ่มมาบริหารประเทศได้
รีพับลิกันอ้างว่าพรรคเดโมแครตก็กุมอำนาจทั้งด้านบริหารและนิติบัญญัติในวอชิงตันอยู่แล้ว
มีปัญหาก็แก้เองซิ, อะไรทำนองนั้น
ทำให้เกิดคำถามพื้นฐานว่า คำว่า debt limit หรือเพดานหนี้ของสหรัฐฯ มันคืออะไร มีมากมายเท่าไหร่ กฎหมายเขียนไว้อย่างไร
เพดานหนี้ก็คือตัวเลขหนี้ที่รัฐบาลกลางได้รับอนุญาตให้ก่อได้ด้วยการกู้มาใช้สำหรับการบริหารประเทศ
งบประมาณของสหรัฐฯ นั้นขาดดุลมายาวนาน ต้องกู้เงินสำหรับมหาศาลเพื่อจ่ายหนี้และเงินเดือนของพนักงานส่วนกลาง
เงินกู้นั้นต้องใช้สำหรับโครงการสวัสดิการสังคมทั้งหลาย รวมถึงดอกเบี้ยและเงินเดือนกองทัพ
ทุกครั้งที่มีการถกแถลงเรื่องเพดานหนี้ นักการเมืองก็มักจะเรียกร้องให้รัฐบาลกลางลดค่าใช้จ่ายแทนที่จะกู้เพิ่ม
แต่การยกเพดานสร้างหนี้โดยตัวมันเองไม่ได้เปิดทางให้รัฐบาลกลางใช้จ่ายเพิ่มจากรายการเดิมในงบประมาณ เพียงให้ใช้เงินนั้นเพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่เท่านั้น
เส้นตายของการต้องตัดสินว่าจะยกเพดานหนี้ของสหรัฐฯ คือเมื่อไหร่?
ว่าตามทฤษฎี เส้นตายนั้นถึงกำหนดเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาแล้วหลังจากที่รัฐสภาได้ผ่านมติให้ต่ออายุเพดานหนี้ไปอีกสองปีเมื่อ 2019
แต่ที่ยังไม่เกิดวิกฤตก็เพราะรัฐมนตรีคลัง Janet Yellen ได้ใช้อำนาจ “มาตรการพิเศษชั่วคราว” เพื่อขยายเส้นตายออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณี “ผิดนัดชำระหนี้” ของรัฐบาลกลาง
เดิมข้อมูลทางการของสหรัฐฯ บอกว่ากระทรวงการคลังจะไม่มีเงินสดที่จะใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายระหว่างวันที่ 15 ตุลาคมถึง 4 พฤศจิกายนนี้
แต่การคำนวณเส้นตายจริงๆ เป็นเรื่องซับซ้อนพอสมควร เพราะช่วงนี้มีการใช้งบพิเศษสำหรับเยียวยาเรื่องโควิด-19
และยังมีความไม่แน่นอนเรื่องยอดรายได้จากการเก็บภาษีที่จะได้มาในภาวะโควิด
ตัวเลขรายได้และรายจ่ายของรัฐบาลกลางจึงยังอยู่ในช่วงของการรวบรวมข้อมูล
สหรัฐฯ มีหนี้เท่าไหร่?
มโหฬารเหลือเชื่อ
ผลผลิตมวลรวม หรือ GDP ของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 20.93 ล้านล้านเหรียญฯ
แต่ยอดหนี้ของรัฐบาลกลางที่กู้มาจากแหล่งต่างๆ อยู่ที่ 28.43 ล้านล้านเหรียญฯ
และเพดานหนี้ที่จะกู้ได้สำหรับรัฐบาลกลางอยู่ที่ 28.4 ล้านล้านเหรียญฯ
นั่นแปลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีหนี้เท่ากับ 135% ของจีดีพี
และจะกู้เกินกว่าหนี้ปัจจุบันไม่ได้แล้ว เพราะจะทะลุเพดานที่ตั้งไว้
หากจะกู้เพิ่มเพื่อไม่ให้การบริหารประเทศของทำเนียบขาวหยุดชะงัก ก็ต้องให้รัฐสภาลงมติยกเพดานสร้างหนี้เพิ่มขึ้น
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระบุไว้ว่าสภาคองเกรสมีอำนาจในการอนุมัติให้รัฐบาลกลางกู้เงิน
เพดานหนี้ถูกกำหนดครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 เพื่อว่ากระทรวงการคลังไม่ต้องขออนุญาตสภาทุกครั้งที่ออกพันธบัตรเพื่อกู้เงินประชาชนมาใช้
ปี 1939 เป็นครั้งแรกที่สภากำหนดเพดานหนี้อย่างเป็นทางการ
ทำไมการปรับเพดานหนี้ในสหรัฐฯ ตอนนี้จึงกลายเป็นเรื่องร้อนแรงมากขนาดนี้?
หลายปีที่ผ่านมา การยกเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เกือบจะเป็นเรื่องปกติเพราะทั้งสองพรรคใหญ่ก็หมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศ ต่างฝ่ายต่างเข้าใจปัญหาของงบประมาณขาดดุล และต่างฝ่ายต่างก็ต้องสร้างหนี้เพิ่มตลอดเวลา
แต่ในช่วงหลังนี้ประเด็นเพดานหนี้กลายเป็นเรื่องการเมือง
ผู้เชี่ยวชาญบางคนอ้างบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 14 ที่บางฝ่ายตีความว่าประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะปรับเพดานหนี้ได้โดยไม่ต้องผ่านสภา
หากสภามีประเด็นโต้แย้งก็อาจจะไปตัดสินกันที่ศาล
แต่เรื่องนี้ยังไม่เคยไปถึงขั้นนั้น ทุกครั้งก็จะมีการต่อรองและโต้เถียงระหว่างทำเนียบขาวกับสมาชิกคองเกรสฝ่ายตรงกันข้าม
ครั้งนี้รัฐมนตรีคลังยืนยันว่าสภาคองเกรสควรลงมติให้ปรับเพดานหนี้หรือไม่ ก็กำหนดให้ละเว้นการใช้เพดานหนี้ชั่วคราวเพื่อการบริหารประเทศจะได้เดินหน้าต่อไป
เธออ้างว่าในเมื่อคองเกรสเป็นผู้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายและนโยบายการเก็บภาษีรายได้ ดังนั้นจึงไม่ควรจะมีเพดานสำหรับเงินกู้ที่จะเอามาใช้จ่ายตามงบประมาณที่รัฐสภาเป็นผู้อนุมัติเอง
เป็นหัวข้อร้อนๆ ที่ยังรอให้มีการเล่นเกมการเมืองที่วอชิงตันให้ทั้งโลกใจหายใจคว่ำได้ตลอดเวลา.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


