
ขอออกตัวก่อนครับ วันที่เขียนคอลัมน์นี้ ผมจะเขียนล่วงหน้าหลายวัน ซึ่งหลายอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลง วันที่แฟนคอลัมน์อ่านคอลัมน์นี้อยู่ แต่ผมเห็นว่าเนื้อหาและประเด็นเป็นเรื่องน่าสนใจ ถ้าเอาเข้าจริง ผมคิดว่าระหว่างวันที่ผมเขียน กับวันที่แฟนคอลัมน์อ่าน ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นัก
เรื่องที่จะเน้นวันนี้ เป็นเรื่องที่ผมเคยเขียนเมื่อกลางปีที่แล้ว นั่นคือ การตัดสินใจของฝ่ายบริหารในสหรัฐ ที่ผ่านความเห็นชอบฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งสภาล่างและสภาบน ให้แบน TikTok ในสหรัฐ ถ้าเผื่อบริษัทแม่ของ TikTok
(Bytedance) ยังเป็นของจีนอยู่ ไม่ได้หมายความว่า Bytedance ต้องเปลี่ยนเจ้าของ เพียงแต่ถ้าอยากจะยังมี TikTok ในสหรัฐ ต้องไม่ใช่ Bytedance เป็นบริษัททำ ถ้าจะทำ TikTok ในสหรัฐต่อ เป็นบริษัทอเมริกันอะไรก็ได้ โดยไม่ใช่ Bytedance และไม่ใช่บริษัทจีน
ขีดเส้นใต้ไว้คือ ภายในวันที่ 19 มกราคม (วันนี้) ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ถ้า TikTok และ Bytedance ไม่ทำตาม และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ในสหรัฐจะไม่มี TikTok ทันที จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครับ
ทาง Bytedance ยื่นอุทธรณ์ แต่ไม่สำเร็จรอบชั้นอุทธรณ์ และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไปชั้นฎีกา ซึ่งแนวโน้มไม่น่าจะสำเร็จ อีกชั้นหนึ่ง (อย่างที่บอก วันที่ผมเขียนบทความนี้ ศาลฎีกาของสหรัฐยังไม่วินิจฉัยอย่างเป็นทางการ แต่ดูแนวโน้ม ศาลน่าจะช่วยอะไร Bytedance กับ TikTok ไม่ได้ครับ)
ความหวังสุดท้ายของ TikTok ในสหรัฐ อาจเป็นอำนาจและดุลพินิจของประธานาธิบดีคนใหม่ที่จะเริ่มงานในวันพรุ่งนี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งกรณีของ Donald Trump กับ TikTok น่าจะมีแต่เรื่องผลประโยชน์ล้วนๆ และน่าจะเป็นกรณีศึกษาในตัว แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่า ทางเลือกนี้จะไปในทางไหนต่อ
หัวใจหลักๆ เรื่อง TikTok ในสหรัฐ หมุนเวียนอยู่ 2 ประเด็นครับ ประเด็นแรกคือ รัฐบาลไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย หรือละเมิดการทำงานภายในของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐไม่มีสิทธิ์บังคับ ชี้แนะ หรือออกความเห็นว่า บริษัทใดบริษัทหนึ่งควรมีเจ้าของที่ต้องผ่านความเห็นชอบ หรือความพอใจของหน่วยงานรัฐ หรือรัฐบาล ถ้าเป็นเช่นนี้เมื่อไหร่ปุ๊บ สหรัฐจะไม่ต่างกับประเทศคอมมิวนิสต์ ประเทศเผด็จการ หรือ ประเทศในโลกที่ 3 ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่คนมักจะหยิบยกและใช้เป็นข้อโต้เถียงเวลาแสดงจุดยืนความห่วง และความไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของรัฐบาลสหรัฐกับ Bytedance
เขาจะเถียงกันว่า ถ้าทางการสหรัฐประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ในอนาคตถ้าเผื่อหน่วยงานรัฐ หรือรัฐบาลสหรัฐไม่พึงพอใจกับบริษัทใคร เขาสามารถบีบบังคับให้บริษัทนั้นๆ เปลี่ยนเจ้าของ เป็นคนหรือพวกที่เขาพึงพอใจ ซึ่งตรงนี้ก็เถียงได้ และมีน้ำหนักครับ เป็นประเด็นที่ทาง Bytedance พยายามโต้ตอบ บวกกับประเด็นละเมิดสิทธิของบริษัท ที่อยู่ๆ จะต้องถูกแบนเพียงเพราะบริษัทแม่เป็นบริษัทจีน เขาโต้เถียงกลับไปว่า ถ้าบริษัทแม่ไม่ใช่จีน แต่เป็นประเทศพันธมิตร ไม่ใช่ประเทศคู่แข่งอย่างจีนนั้น บริษัทดังกล่าวจะตกเป็นเหยื่อด้วยไหม? บริษัทดังกล่าวจะเป็น “ภัยต่อความมั่นคงของชาติ” เหมือนที่เขาถูกกล่าวหาไหม?
ผมยอมรับว่าช่วงแรกๆ ที่ผมอ่านข่าวเรื่องนี้ และเข้าใจแบบผิวเผินนั้น ผมก็มีความคิดเห็นเหมือนที่ Bytedance โต้เถียงกลับไป แต่พอเริ่มอ่านละเอียด จะเข้าใจว่าทางสหรัฐยึดแนวปฏิบัติตามหลักการต่อไปนี้โดยตลอดครับ
ตั้งแต่ยุคกฎหมายฉบับ Radio Act (ปี 1912) สหรัฐไม่เคย (หรือไม่ค่อย) เปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติถือใบอนุญาตทำงานด้านสื่อ ยิ่งเฉพาะคลื่นวิทยุ เพราะเขาถือว่าถ้าบริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของคลื่นได้ เรื่องข้อมูลข่าวสารที่ทางคลื่นนี้จะเผยแพร่สู่สาธารณชนนั้น ควบคุมไม่ได้ และจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ถึงแม้ยุคนี้ คลื่นวิทยุจะไม่ “แรง” เท่ากับระบบอินเทอร์เน็ตก็ตาม แต่หลักเกณฑ์กับหลักการ Radio Act ยังเป็นแนวปฏิบัติจนถึงบัดนี้ครับ
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ทางสหรัฐไม่ได้เน้นเรื่องการปิดปากและปิดตาของผู้ใช้ TikTok อย่างที่ถูกกล่าวหา ประเด็นที่เป็น “ภัยต่อความมั่นคงของชาติ” นั้น เกี่ยวกับ Bytedance โดยตรงเสียมากกว่า ความห่วงใยของสหรัฐต่อเรื่องนี้คือ Bytedance (ซึ่งหมายถึงหน่วยงานรัฐของจีน) เอาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐไปทำอะไร? และสำคัญกว่านั้นคือ ข้อมูล ภาพ และข่าวสาร ที่แฟนๆ TikTok ในสหรัฐดูทุกวัน เป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือน เป็นข้อมูลที่ทางการจีนกลั่นกรองมากน้อยเพียงใด เพื่อพยายามล้างสมองคนอเมริกัน?
ทางการสหรัฐพูดชัดเจนว่า เขาไม่ได้ละเมิดสิทธิของใคร ไม่ได้ละเมิดสิทธิของ Bytedance ไม่ได้ละเมิดสิทธิของแฟนๆ TikTok ในสหรัฐ เพราะเขาพูดอยู่เสมอว่า ถึงแม้จะมีการแบน TikTok ในสหรัฐขึ้นมาก็ตาม ถ้า Bytedance เปลี่ยนผู้รับอนุญาตจาก Bytedance มาเป็นบริษัทอเมริกัน หรือคนอเมริกัน TikTok ยังสามารถมีต่อได้ครับ บริษัทอื่นก็ทำแบบนี้ ทำไม Bytedance ถึง ไม่ยอม? (ตรงนี้เป็นคำถามที่น่าคิดครับ)
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ สิทธิเสรีภาพของคนอเมริกันในการแสดงความคิดเห็น (Freedom of Speech) ถูกปกป้องใน รัฐธรรมนูญของเขาจริง แต่ในขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ให้อำนาจทางรัฐกีดกัน และห้ามคนอเมริกัน มีความสัมพันธ์ และ/หรือ สนับสนุนองค์กรก่อการร้าย หรือประเทศที่เป็น “ศัตรู” ของชาติ
เมื่อเป็นเช่นนี้ขึ้นมา เมื่อทางการรัฐสามารถห้าม และ/หรือกีดกัน คนอเมริกัน (รวมถึงบริษัท) คลุกคลี หรือมีความสัมพันธ์กับองค์กร หรือประเทศที่เป็น “ศัตรู” ของชาติได้ ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ห้ามให้คนอเมริกันสัมผัสและคลุกคลีกับบริษัทที่ “ศัตรู” ครอบงำ?
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าติดตามอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม คุณสามารถ โต้เถียงอีกฝ่ายหนึ่งเต็มที่ และดีไม่ดี ต่างฝ่ายต่างชนะด้วยซ้ำ เพราะทั้ง 2 ฝ่ายมีประเด็นที่มีน้ำหนักทั้งคู่ และไม่ว่าใครจะอยู่ฝั่งไหนก็ตาม คุณถูกครับ
ทิ้งท้ายด้วยคำถามว่า ถ้าภายในวันนี้ทาง Bytedance ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสหรัฐ เขาจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง? เขาจะถูกค่าปรับ? ผู้บริหารจะถูกจับ?
ความจริงไม่เลยครับ Bytedance จะไม่รับผลกระทบเท่ากับบรรดาบริษัทที่ทำ App Store (เช่น Apple กับ Google เป็นหลัก) ถ้าเลยวันนี้ โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนั้น บริษัท App Store จะถูกลงโทษหนักแทน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า TikTok ในสหรัฐจะจอดำทันที แต่ตราบใดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พอเวลาผ่านไป App ของ TikTok ในสหรัฐ จะเริ่มใช้ไม่ได้มากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นใช้ไม่ได้เลยครับ
ส่วนความหวังสุดท้ายของ Bytedance คือ Trump ใช่ไหมครับ? แล้วเขาจะช่วยได้จริงเหรอ? ช่วยได้ครับ ทางสวยที่สุดคือ สภา Congress (ทั้งล่าง ทั้งบน) ออกกฎหมาย คว่ำกฎหมายเดิมที่เคยผ่านสภาในการแบน TikTok (ถึงแม้จะมีเสียงข้างมากก็ตาม หนทางนี้น่าจะยาก) อีกทางหนึ่งคือ ให้อัยการสูงสุดของเขาดึงเรื่องไว้และชะลอ (แต่ก็จะโดนด่าอยู่ดี)
หนทางออกที่น่าเป็นไปได้มากที่สุดคือ Bytedance ขายกิจการให้กับคนอเมริกันที่ (บังเอิญ) เป็นเพื่อนพ้องกับ Trump
พรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้นใหม่ของยุคประธานาธิบดี Donald Trump (ครั้งที่ 2) คงสนุกแน่ครับ และคงเจอการตัดสินใจ และการแก้ปัญหา เหมือนกรณี Bytedance อีกเยอะครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Game of Thrones ภาคฟิลิปปินส์ (ตอนที่ 1)
ถ้าชอบเรื่องการเมือง ถ้าชอบดรามา ถ้าชอบดรามาการเมืองนั้น ผมว่าแฟนคอลัมน์สามารถติดตามการเมืองภายในประเทศทุกประเทศ ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น
ถูกใจ....ถูกต้อง?
ผมรู้สึกโล่งใจที่สภาพอากาศกลับมาสู่สภาพปกติ (มากกว่าเดิม) ถึงแม้จะไม่ใสสะอาดเท่าที่ควรก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าช่วงที่มีฝุ่นหนาทั่วบ้านทั่วเมือง
ประวัติศาสตร์กำลังเกิดขึ้น?
ขอบ่นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนนิดหนึ่งครับ จะเรียกว่าถอนหายใจ หรือกลั้นหายใจ มันพูดยาก เพราะจะถอนหรือกลั้นหายใจนั้น ผมกลัวจะไอและสำลักขึ้นมาทันที เนื่องจากต้นสัปดาห์
ปัดฝุ่นกันดีไหม?
ขอออกตัวเลยว่าวันนี้ (วันที่เขียนคอลัมน์) ผมหงุดหงิดครับ ผมไม่ได้หงุดหงิดเรื่องคำพูดหรือความซ่าของอดีตนายกฯ ผมไม่ได้หงุดหงิดเรื่องการเมือง
A Whole New World? หรือ Same Same, But Different?
ในเร็วๆ นี้ โลกของเราจะเปลี่ยนโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม จะอยู่ใน Gen ไหน สิ่งที่พวกเราต้องยอมรับกันคือ
วันส่งท้าย 'สวัสดีปีใหม่'
หวังว่าวันนี้คงไม่สายเกินไปที่ผมจะทักแฟนคอลัมน์ด้วยคำว่า “สวัสดีปีใหม่” ครับ เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกที่เราได้เจอกันในรอบปีใหม่ แต่ผมมีคำถามอยู่คำถามหนึ่งว่า