
วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นวันเขย่าโลกทีเดียว ใครที่ชอบคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว การเลือกผู้นำไม่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป หรือเลือกใครก็เท่านั้น เพราะเขาอยู่ในโลกของเขา และเราอยู่ในโลกของเรา ต้องคิดใหม่ครับ
ถ้าเจอผู้นำที่ทำงาน เอื้อประโยชน์ให้กับตนกับพวกพ้อง ใช่ครับ เลือกไปก็เท่านั้น เพราะเขาทำงานของเขา โดยที่ปัญหาปากท้องของพวกเราไม่มีใครแก้ไขและอยู่เหมือนเดิม ซึ่งดูยังไงๆ การผลักดันกาสิโนในบ้านเราดูเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง มากกว่าเป็นประโยชน์ให้กับประเทศ
แต่อย่าเข้าใจผมผิดครับ ผมไม่ได้ต่อต้านกาสิโน ผมเป็นคนที่ชอบบรรยากาศกาสิโน และชอบเดินในกาสิโนครับ ทั้งๆ ที่ผมเล่นอะไรไม่เป็น แต่ผมชอบบรรยากาศ ชอบความอลังการ และชอบร้านอาหารในกาสิโน เป็นบรรยากาศที่เพลิดเพลิน แต่ผมก็เข้าใจ เป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอบายมุข และสำหรับคนที่เล่นหนักก็น่าสมเพช เพราะไม่ใช่สิ่งหรูหรา ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และเอาเข้าจริง เข้าไปกาสิโนยิ่งดึกจะยิ่งเห็นนักการพนันที่น่าสมเพชมากขึ้น
แต่ถ้าจะบอกผมว่า ไม่อยากให้มีกาสิโนเพราะประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ผมว่าคุณนั่งเงียบๆ ดีกว่า ไม่ต้องพูดอะไรจะดีกว่าครับ ส่วนคนที่บอกว่าบ้านเราต้องมีกาสิโนเพราะ “เพิ่มรายได้” “เพิ่มงาน” ผมว่าคุณไปนั่งกับ “ไทยเป็นเมืองพุทธ” ไปนั่งเงียบๆ ด้วยกัน เพราะพูดไปก็ไร้สาระพอๆ กันครับ อย่างที่บอกผมไม่ได้ต่อต้าน การมีกาสิโน แต่ผมไม่ได้สนับสนุนเต็มที่ ผมรู้ว่าถ้ามีกาสิโนในบ้านเรา ผมก็คงไปดูกัน และถ้ามาตรฐานการควบคุมกาสิโนอยู่ในระดับ World Class จริงๆ มีมาตรการคุมเข้มและไม่ปล่อยหละหลวมแบบไทยๆ แบบจีนๆ นั้น ผมโอเคครับ
เอาเถอะไปนอกเรื่องมากเกินไป เอาเรื่องวันที่ 2 เมษา.ดีกว่า ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศอิสรภาพให้กับสังคมอเมริกัน ในขณะเดียวกัน ประกาศสงครามการค้ากับประเทศทั่วโลก 4 วันผ่านมาเต็มๆ กว่าคอลัมน์นี้จะออก คงมีผู้เชี่ยวชาญและนักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ต่างๆ นานาครบถ้วน สมบูรณ์เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วมั้งครับ เพื่อเสริมความรู้รอบตัว ผมขออนุญาตแตะเรื่องของ Tariffs ให้แฟนคอลัมน์ได้รับรู้ เท่ากัน สำหรับใครที่อาจจะยังงง อาจจะยังสับสนว่า Tariffs คืออะไร มีไว้ทำไม และเป็นประโยชน์จริงหรือไม่
ก่อนอื่น จะเห็นด้วยหรือไม่กับมาตรการ Trump ในครั้งนี้ จะปรบมือเชียร์หรือจะด่าเขาก็แล้วแต่ เวลาเท่านั้นจะพิสูจน์ว่ามาตรการในครั้งนี้ถูกหรือผิด แต่สิ่งที่เถียงไม่ได้ หรือเถียงยากคือ อย่างน้อยมาตรการในครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า ทำเพื่อประเทศ ทำเพื่อชาติ
ผิดถูกอย่างไรว่ากันอีกที บิดเบือนข้อเท็จจริง ว่ากันไปครับ Trump ตัดสินใจออกมาตรการ Tariffs ในครั้งนี้เพื่อแก้สถานการณ์ที่อเมริกาเสียดุล อเมริกาเสียเปรียบคู่เจรจาทั่วโลกเป็นเวลายาวนาน ในสายตาของเขา (รวมถึงผู้สนับสนุนเขา) อเมริกาเสียเปรียบมานาน เสียเปรียบจน ประเทศอื่นเอาเปรียบ
การหาเสียงของ Trump รวมถึงการพูดกับฐานเสียงตัวเอง ถ้าฟังผิวเผิน ถ้าฟังพื้นๆ ฟังดูเข้าท่า ฟังดูมีเนื้อหาสาระ ทำไมอเมริกาต้องแบกภาระให้กับคนทั่วโลก? ทำไมเวลามีสงคราม (รัสเซีย กับยูเครน/อิสราเอล กับฮามาส) ทำไมต้องวิ่งเข้าหาอเมริกาหมด? ทำไมอเมริกาต้องออกค่าใช้จ่ายสนับสนุนองค์กรต่างๆ ที่ควรทำหน้าที่ของเขา? ทำไมต้องใช้ภาษีของคนอเมริกันมาสนับสนุนองค์กรที่ไร้ประโยชน์? คำถามเหล่านี้ฟังดูไร้สาระ แต่เป็นคำถามที่กินใจคนครับ
อย่าว่าแต่คนอเมริกันเลย คนไทยเราก็มีคำถามนี้กันครับ ช่วงไหนมีข่าวสภาล่ม ขาดองค์ประชุม หรือมีกรณีศึกษาดูงานต่างประเทศ คนไทยพูดเสียงดังฟังชัด “ภาษีกู!!!” อย่าปฏิเสธเลย แฟนคอลัมน์ทุกท่านมีความคิดแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นเรื่องการใช้งบประมาณเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเป็นเรื่องที่ผู้นำควรคำนึงถึงตลอด สำหรับผู้นำหรือผู้มีอำนาจที่ขาดความรับผิดชอบ การใช้งบประมาณแผ่นดินนั้นมันง่ายเหลือเกินครับ เพราะไม่ใช่เงินส่วนตัว ลองใช้เงินตัวเองเมื่อไหร่ เมื่อเป็นเงินของตัวเองจริงๆ การควักจ่ายจะไม่ง่ายเท่ากับใช้เงินคนอื่นเขา
ดังนั้นที่ Trump มีมาตรการ Tariffs ในครั้งนี้ มันกินใจ และถูกใจฐานเสียงเขา เพราะถ้าฟังการแถลงในวันดังกล่าว เขาไม่ได้ลงลึกอะไรในรายละเอียด เขาเพียงพูดเผินๆ ว่าประเทศทั่วโลกเอาเปรียบอเมริกามานานเกิน ทีพวกมึงเคยขึ้นภาษี สินค้ากู กูจะเอาคืน
ถ้าเป็นคนอเมริกันทำไมจะไม่รักครับ? มาตรการจะถูกหรือผิดอย่างไร ให้อนาคตตัดสินอีกที แต่วันนี้ ประธานาธิบดีของผมกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ใครจะว่าอะไรเขา จะเห็นว่าเป็นฮีโร่หรือปีศาจ เขาพูดเต็มปากเต็มคำว่า เขาทำเพื่อชาติ ถึงแม้อาจไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์หลักการก็ตาม แต่คนระดับนึงเชื่อว่าเขาทำเพื่อบ้านเมือง แล้วผู้นำของเรา? ทำเพื่อบ้านเมืองกี่เรื่องแล้ว?
ขอเข้าเรื่อง Tariffs โดยผ่านตัวอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 2 เมษายนนั้น Trump ได้ประกาศขึ้น Tariff 25% สำหรับรถยนต์ทุกยี่ห้อที่ไม่ประกอบในสหรัฐ ต่อจากนี้ไปรถทุกยี่ห้อทุกคันที่ไม่ใช่อเมริกัน จะขึ้นภาษี 25% ทันที มาตรการในครั้งนี้มีไว้เพื่อ กระตุ้นให้คนอเมริกันหันมาซื้อรถอเมริกัน เพราะตามทฤษฎี เมื่อรถที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมันแพงกว่ากัน 25% นั้น ในหลักเกณฑ์หลักการ รถอเมริกันจะถูกกว่า 25% ใช่ไหมครับ?
หรืออีกมุมหนึ่งคือ การขึ้นภาษี 25% นอกจากจะผลักดันให้คนซื้อรถอเมริกันมากขึ้น เขาอยากจะผลักดันให้ยี่ห้อทั่วโลกมาผลิตรถในสหรัฐ เพื่อสร้างงานให้คนอเมริกันมากขึ้น แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ชิ้นส่วนที่รถอเมริกันต้องใช้ในการประกอบรถยนต์นั้นมาจากต่างประเทศ เมื่อขึ้นภาษีแล้ว ก็ขึ้นภาษีสำหรับชิ้นส่วนเหล่านี้เหมือนกัน เลยจะทำให้ขึ้นภาษี 25% สำหรับรถจากต่างประเทศก็จริง แต่จะขึ้นราคาให้กับรถอเมริกันเช่นเดียวกัน
การมีมาตรการ Tariffs ในแต่ละครั้ง มีไว้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งในยามวิกฤต หรืออุ้มอุตสาหกรรมนั้นๆ เหมือนในยุคประธานาธิบดี Ronald Reagan ที่เคยออก Tariffs อุ้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐเพื่อต่อต้านคลื่นกระแสรถจากญี่ปุ่น และต่อมา ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่อเมริกาสู้กับญี่ปุ่นไม่ได้
การเป็นผู้นำประเทศจะต้องคำนึงถึง อุตสาหกรรมภายในประเทศตัวเอง และหามาตรการป้องกันให้มากที่สุด ดังนั้นในยุคของ Reagan ผมเข้าใจได้ แต่ผมไม่เข้าใจ Trump ในครั้งนี้ครับ ในยุค Reagan ยังมีวิกฤตที่ต้องอุ้มบริษัทอเมริกัน แต่ครั้งนี้มีวิกฤตอะไรครับ? การออก Universal Tariffs กับประเทศเกือบทั่วโลกขณะนี้ ตกลงคุณอยากจะสร้างพันธมิตร บีบศัตรู หรือบีบพันธมิตรให้เป็นศัตรู? หรือคุณอยากบีบบังคับให้พันธมิตรวิ่งเข้าหาศัตรูของคุณ?
Tariffs ในครั้งนี้ ผมเข้าใจ ถ้าทำเพื่อเอาใจฐานเสียงตัวเอง แต่ในการประกาศสงครามการค้ากับประเทศพันธมิตรเป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ แต่บังเอิญผมไม่ต้องเข้าใจอะไรมากมาย เพราะ Trump ไม่ใช่ผู้นำของผม ผมไม่ได้เลือกเขา เพราะผมไม่รู้สิทธิเลือกอะไรกับเขาเลย ดังนั้นจะต้องถามคนอเมริกันว่าภาคภูมิใจกับมาตรการในครั้งนี้? ภูมิใจในความเป็นอเมริกัน?
ผมกลัวเขาจะสวนกลับมาว่า “ผู้นำของ I ทำเพื่อประเทศชาติโว้ย..... ผู้นำของ you ล่ะ?” แฟนคอลัมน์ช่วยผมคิดคำตอบให้หน่อยครับ เพราะผมไม่รู้จะตอบอะไรเขาได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การเมืองฟิลิปปินส์…แค้นนี้ต้องชำระ
ขอออกตัวว่า วันที่เขียนคอลัมน์นี้ ร่างกายผมไม่เต็มสมบูรณ์ครับ ขออวดว่าผมไม่ได้เป็นไข้หวัดมาเกือบ 30 กว่าปีแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยไม่สบาย เพียงแต่ไม่ได้เป็นไข้หวัดเหมือนเมื่อก่อน
India+Pakistan+Kashmir เท่ากับ Never Ending Story
สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้โลกต้องจับตามองว่าการปะทะจะยกระดับเป็นการสู้รบ และจบที่สงคราม ระหว่าง 2 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ทั้งคู่หรือไม่
ELBOWS UP!!!!!!
Mark Carney จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา และพรรค Liberal จะได้เป็นแกนนำรัฐบาลชุดใหม่อีกต่างหาก ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีนี้ ประโยคนี้ไม่มีทางจะพูดออกมาหรือเขียนออกมาได้
Conclave 2025
เกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (ขออนุญาตเรียกสั้นๆ ว่า Pope Francis) สิ้นพระชนม์ครับ ตามกระบวนการ พอมี Pope องค์ใดสิ้นพระชนม์ จะต้องมีการแสดงความอาลัย 9 วัน และกระบวนการเลือก Pope องค์ใหม่จะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน (รวม 9 วันแสดงความอาลัยแล้วครับ)
สงครามน้ำช่วงสงกรานต์ที่บ้านเฮา
ผมขออนุญาตเก็บตกเรื่องสงกรานต์ปีนี้สักหน่อยครับ ถึงแม้ เทศกาลผ่านพ้นไปหลายวันก็ตาม แต่ผมมีความประทับใจที่ผมอยากเล่า เพราะถ้าไม่เล่าวันนี้ ผมจะต้องรอปีหน้า ไหนๆ สงกรานต์ยังไม่ผ่านพ้นไปเท่าไรนัก ขอเล่าวันนี้ และเรื่องของเรื่องคือ ตัวผมยังอยู่บ้านเฮาอยู่ เลยยังอยู่ในบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เล่าได้อยู่
‘Life finds a way’
ผมกำลังเขียนคอลัมน์วันนี้ ตรงกับวันครบรอบ 29 ปีที่คุณพ่อผมเสียชีวิต (11 เมษายน 2539) เป็นวันที่ผมรำลึกถึงคุณพ่อ และบางปีเป็นวันที่เสียใจมากกว่าปีอื่นๆ