
ผมกำลังเขียนคอลัมน์วันนี้ ตรงกับวันครบรอบ 29 ปีที่คุณพ่อผมเสียชีวิต (11 เมษายน 2539) เป็นวันที่ผมรำลึกถึงคุณพ่อ และบางปีเป็นวันที่เสียใจมากกว่าปีอื่นๆ เพราะถึงแม้วันเวลาผ่านไปนานก็ตาม ในวิธีการที่คุณพ่อต้องเสียชีวิต ด้วยอายุที่น้อย และด้วยเหตุผลที่อธิบายยากนั้น บางปีวันนี้ถือว่าเป็นวันที่ต้องรู้สึกเสียใจมากกว่าปกติครับ
ผมไม่อยากจะบอกว่าเป็นแค่อีกหนึ่งวันในชีวิต เป็นแค่วันที่รำลึกถึง ทำบุญแล้วจบๆ ไป ชีวิตคนทั้งคนครับ และไม่ใช่คนอื่นที่ไหนไกล สำหรับคนที่ยังให้กำลังใจผมจนถึงบัดนี้ เขายังนึกถึงและรำลึกถึงคุณพ่อ ว่าเป็นคนดี แต่ผมเป็นลูก ผมสูญเสียคุณพ่อ และสิ่งที่เสียใจกว่านั้นคือ ลูกผมเสียคุณปู่ของเขา
ในชีวิตนี้ เขาไม่มีวันรู้จัก ไม่มีวัน สัมผัสอ้อมกอด สัมผัสการหยอกล้อ หรือสัมผัสการหอมแก้มของคุณปู่ของเขา คุณย่า (และคุณยาย) เลยทำหน้าที่ตรงนี้แทน วันนี้ไปทำบุญให้คุณพ่อและคุณปู่ของหลานเรียบร้อย ถ้าหลานของคุณปู่สัมผัสไม่ได้ อย่างน้อยทำบุญให้ และฝั่งผมเล่าเรื่องคุณปู่เขาให้ฟังกันและกัน
ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมจะเห็นคุณพ่อติดตามข่าวคราว อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังข่าววิทยุและดูข่าวโทรทัศน์ เป็นประจำ เลยฝังลึกในจิตสำนึกของผมว่า คนเราต้องติดตามข่าวคราวบ้านเมืองและโลก ไม่ใช่เพราะเป็นกรรมกรข่าว แต่เพื่อให้ทันโลก และถ้าอยากเข้าสังคม คุยกับคนทุกระดับ จะต้องมีความรู้รอบตัวให้มาก จะได้คุยกับคนทุกระดับได้
ในฐานะที่คุณพ่อเคยทำงานเป็น Bartender ในร้านอาหาร เขาต้องเจอคนหลากหลาย และในฐานะเป็น Bartender เวลาแขกมาสั่ง drink บางทีเขาอยากมีเพื่อนคุยด้วย ถ้าไม่คุยเรื่องกีฬา ก็คุยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในข่าว พ่อเลยมีความเห็นว่า ถ้าทำหน้าที่ตรงนี้ดีจะต้องมีความรู้รอบตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบอยู่แล้ว
พอทำร้านอาหารของตัวเอง เมื่อมีลูกค้าประจำก็ต้องหาเรื่องคุยกับเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นกีฬาเป็นหลัก แต่พอมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ร้านของเราเป็นศูนย์กลางการสนทนา เพราะพ่อและคุณแม่สร้างบรรยากาศให้เป็นอย่างนั้น
ผมจำได้ตอนที่ผมอายุ 10 ขวบ เป็นปีที่ NASA ได้ยิง Space Shuttle รุ่น Columbia สู่อวกาศครั้งแรก (ในปี ค.ศ.1981) โทรทัศน์ทุกช่องในยุคนั้นถ่ายทอดสด ผมจำได้ว่าพวกเรานั่งดูกันอยู่ที่ร้านในโทรทัศน์ขาวดำ จอเล็กๆ ในร้าน พวกเรากำลังดูภาพ Columbia กำลังขึ้นสู่อวกาศ ซึ่งในฐานะตัวผมที่เกิดในสหรัฐ ผมรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะตอนนั้นผมเป็นอเมริกันเต็มตัว คุณพ่อและคุณแม่ในฐานะอยู่ที่นู่น 10 กว่าปีแล้ว ยังไงๆ เขาเป็นคนไทย แต่วันนั้น คุณพ่อดูทีวีและปรบมือเชียร์ด้วยความเต็มใจ
ผมจำได้ว่า พ่อพูดว่า “This is fantastic!!!” ซึ่งวันนั้นไม่ต้องเป็นไทย ไม่ต้องเป็นอเมริกัน วันนั้นเป็นวันที่คนรวมตัวกันนั่งชมประวัติศาสตร์ และชื่นชมความสามารถสุดยอดฝีมือมนุษย์
ที่ผมหยิบยกตัวอย่างตรงนั้น เพราะในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมรู้ว่าข่าวเรื่องนี้จะต้องทำให้คุณพ่อผมยืนปรบมือเชียร์ผลงานฝีมือมนุษย์ นั่นคือเรื่องการฟื้นชีวิตสัตว์ที่สูญพันธุ์กว่าหมื่นปีที่แล้วกลับมามีชีวิตใหม่ในโลกปัจจุบัน เรื่องกลับสู่โลกใหม่อีกรอบของสัตว์ป่าที่เรียกว่า Direwolf ด้วยฝีมือของมนุษย์
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของ Direwolf ที่เกิดมาช่วงปลายปีที่แล้ว ตัวผู้คู่หนึ่ง (ชื่อ Romulus กับ Remus) ส่วนเมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่มตัวเมียอีกตัวหนึ่ง (ชื่อ Khaleesi) สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับพันธุ์ Direwolf ไม่ต้องรู้สึกอะไรครับ เพราะเขาสูญพันธุ์นานกว่า 10,000 ปี และผมยอมรับว่าถ้าผมเองไม่ติดตามซีรีส์ Game of Thrones (GOT) และไม่เริ่มอ่านหนังสือของเขา ผมจะไม่ลึกซึ้งและคุ้นเคยกับ Direwolf เหมือนกัน แต่สำหรับพวกเราที่ติดตาม GOT จะคุ้นกับ Direwolf และชื่อของ Direwolf ที่เพิ่งกลับสู่โลกใหม่ในครั้งนี้
พอเห็นข่าวเรื่องนี้ ถ้าติดตามวิธีการฟื้นชีวิต Direwolves นี้ขึ้นมา มันอดนึกถึงหนังเรื่อง Jurassic Park ไม่ได้
พอจำกันได้ไหมว่า วิธีที่เขาฟื้นชีวิตไดโนเสาร์สู่โลกอีกครั้ง คือการหา fossil ที่มีตัวยุงขังอยู่ในนั้น และคอยดึงเลือดออกจากซากของยุงที่ดูดเลือดไดโนเสาร์มาผสมพันธุ์ในห้องแล็บ เพื่อสร้างดีเอ็นเอไดโนเสาร์ใหม่ ซึ่งตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันทำได้จริงมากน้อยขนาดไหน รู้แต่ว่าฟังดูเข้าท่า และทำให้เชื่อได้ (ตามเรื่อง) โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก และไม่ต้องเข้าใจอะไรลึกกว่านั้น
ใครจะไปรู้ว่า 30 กว่าปีถัดมา เรื่องนิยายจะกลายเป็นเรื่องจริง? ผมคงไม่เข้าไปลึก หรือเล่าละเอียดวิธีการฟื้นชีวิต Direwolves 3 ตัวนี้ เพราะผมไม่เข้าใจวิธีการดีพอที่จะอธิบายต่อ ผมเข้าใจแต่ว่า เขาเอาดีเอ็นเอจาก fossil ที่มีความใกล้เคียง Direwolf กับตัว Direwolf ที่มีอยู่เข้าห้องแล็บและผสมผสานกัน กลายเป็น Direwolf ตัวจริงเกิดขึ้นมา
ในขณะที่คนครึ่งหนึ่งรู้สึกทึ่งและชื่นชมผลงานของบริษัท Colossal Bioscience ของซีอีโอที่ชื่อว่า Ben Lamm นั้น บรรดานักอนุรักษ์จะมีความเห็นว่าการกระทำในครั้งนี้มันฝืนธรรมชาติ มันผิดหลักเกณฑ์หลักการธรรมชาติ และมันผิดจริยธรรม เพราะในการที่จะเอาสัตว์ที่สูญพันธุ์มาฟื้นคืนชีวิตในโลกใบที่พวกเขาไม่รู้จัก มันเท่ากับทารุณและทรมานพวกเขา
นักอนุรักษ์ยังเถียงต่อว่า เมื่อ “สร้าง” Direwolf ขึ้นมาแล้ว เมื่อถึงคิวสัตว์ที่สูญพันธุ์ตัวอื่นๆ ขึ้นมา ขีดจำกัดจะอยู่ตรงไหน? และจะทำอย่างไร เมื่อเทคโนโลยีเผยแพร่ไปทั่ว และเกิด accident ด้วยการ “สร้าง” สัตว์ชนิดยักษ์ขึ้นมา ขีดจำกัดจะอยู่ตรงไหน? พวกเขาเห็นว่าสัตว์ที่้ต้องสูญพันธุ์ไปล้วนมีเหตุผลที่ธรรมชาติกำหนด ถ้ามนุษย์สามารถ “สร้าง” สัตว์หรือสิ่งที่ธรรมชาติล้างออกจากโลกไปแล้ว อีกหน่อยทุกอย่างในโลกจะไม่ต่างกว่านิยาย Frankenstein
ผมก็เข้าใจความกังวลของนักอนุรักษ์ เพราะถ้าจำเรื่อง Jurassic Park และหนังแนว “มนุษย์ ต่อสู้ธรรมชาติ” ในหนังทุกเรื่อง ธรรมชาติอยู่เหนือกว่ามนุษย์ แม้แต่ใน Jurassic Park เอง พระเอกคนหนึ่งยังพูดว่า “Life finds a way” เมื่อเจ้าของกิจการพยายามอธิบายว่าเขาควบคุมไดโนเสาร์ทุกตัว กันทุกทางให้ไดโนเสาร์ผสมพันธุ์กันได้
ผมไม่รู้ว่าเมื่อแผน Colossal Bioscience จะเดินหน้าฟื้นชีวิตสัตว์สูญพันธุ์อย่าง Dodo Bird กับ Wooly Mammoth ขึ้นมานั้น โลกเราจะเป็นอย่างไร แล้วผมไม่รู้ว่าการฟื้นชีวิตสัตว์เหล่านี้จะเป็นผลบวกหรือลบกับโลกปัจจุบันกันแน่ แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า ผมนับถือความสามารถสมองมนุษย์ที่คิดค้นวิธีการแบบนี้ขึ้นมาได้
ความจริงแล้ว แค่มองรอบๆ พวกเราๆ จะเห็นความอัจฉริยะของมนุษย์ ในสิ่งที่มนุษย์สร้าง สิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เรามองข้าม สิ่งที่มนุษย์สร้างแต่ละชิ้นนั้นมาจากความตั้งใจ มาจากอัจฉริยะของมนุษย์ มาจากมันสมองมนุษย์ทั้งนั้น
แต่มนุษย์จะสุดยอดแค่ไหน ธรรมชาติเหนือกว่า
ความจริงเรื่อง Direwolves ในครั้งนี้ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย ผมนับถือความสามารถของ Colossal Bioscience แต่ผมเข้าใจความห่วงใยของนักอนุรักษ์และคนต่อต้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องถกเถียงกันอีกยาว ถกเถียงกันมันส์ และถกเถียงกันดุเดือด เป็นเรื่องที่คุณพ่อผมจะมีความสุขมากในการถกเถียงและมีส่วนร่วมด้วยครับ
ขอทิ้งท้ายในวันนี้ด้วยคำพูดสั้นๆ จากใจ….สวัสดีปีใหม่ไทยครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การเมืองฟิลิปปินส์…แค้นนี้ต้องชำระ
ขอออกตัวว่า วันที่เขียนคอลัมน์นี้ ร่างกายผมไม่เต็มสมบูรณ์ครับ ขออวดว่าผมไม่ได้เป็นไข้หวัดมาเกือบ 30 กว่าปีแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยไม่สบาย เพียงแต่ไม่ได้เป็นไข้หวัดเหมือนเมื่อก่อน
India+Pakistan+Kashmir เท่ากับ Never Ending Story
สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้โลกต้องจับตามองว่าการปะทะจะยกระดับเป็นการสู้รบ และจบที่สงคราม ระหว่าง 2 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ทั้งคู่หรือไม่
ELBOWS UP!!!!!!
Mark Carney จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา และพรรค Liberal จะได้เป็นแกนนำรัฐบาลชุดใหม่อีกต่างหาก ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีนี้ ประโยคนี้ไม่มีทางจะพูดออกมาหรือเขียนออกมาได้
Conclave 2025
เกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (ขออนุญาตเรียกสั้นๆ ว่า Pope Francis) สิ้นพระชนม์ครับ ตามกระบวนการ พอมี Pope องค์ใดสิ้นพระชนม์ จะต้องมีการแสดงความอาลัย 9 วัน และกระบวนการเลือก Pope องค์ใหม่จะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน (รวม 9 วันแสดงความอาลัยแล้วครับ)
สงครามน้ำช่วงสงกรานต์ที่บ้านเฮา
ผมขออนุญาตเก็บตกเรื่องสงกรานต์ปีนี้สักหน่อยครับ ถึงแม้ เทศกาลผ่านพ้นไปหลายวันก็ตาม แต่ผมมีความประทับใจที่ผมอยากเล่า เพราะถ้าไม่เล่าวันนี้ ผมจะต้องรอปีหน้า ไหนๆ สงกรานต์ยังไม่ผ่านพ้นไปเท่าไรนัก ขอเล่าวันนี้ และเรื่องของเรื่องคือ ตัวผมยังอยู่บ้านเฮาอยู่ เลยยังอยู่ในบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เล่าได้อยู่
LIBERATION DAY 2025!!!!!!!
วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นวันเขย่าโลกทีเดียว ใครที่ชอบคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว การเลือกผู้นำไม่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป หรือเลือกใครก็เท่านั้น