“หยุดยิง” ใครจะ "ยิงก่อน"

แค่ “หยุดยิง” ตาม “คุณพ่อทรัมป์” สั่ง

ยังไม่ใช่ “หยุดความขัดแย้งระหว่าง “ไทย-เขมร” เรื่องดินแดน

ฉะนั้น ถือซะว่า เป็นมวย “พักยก”!      

ถามว่า “จะพักนานแค่ไหน?”

นั่นอยู่ที่ฝ่ายเขมร ถ้าเขมรยึดมั่นสัญญา ปัญหาก็จบ แต่ถ้าหันหลังปุ๊บ ก็ถล่มใส่อีกตามนิสัยเขมรปั๊บ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ยก ๒ ยก ๓ ยก ๔ ยก ๕ ตามมาแน่!

ไทยน่ะ พุทธะอยู่กลางใจ “ไม่เปิดก่อน” อยู่แล้ว

คนทั้งโลกเขารู้......

ว่าไทยนั้น รักสงบ ใครกำแหงมารบ ต้องเตรียมถุงปุ๋ยมาเก็บศพกลับไปด้วย ที่จะต้องช่วยเก็บห่อผ้าขาวแล้วเรียกให้มารับพัสดุกลับคืนไปอย่างรอบนี้ ไม่มีแล้วนะ!

ก็คงทราบกันแล้ว ผลเจรจายุติการสู้รบระหว่างไทย-เขมรที่มาเลย์เป็นเจ้าภาพเมื่อวาน (๒๘ ก.ค.๖๘)

ทั้งเขมรและไทยได้บรรลุความเข้าใจร่วมกัน ดังนี้

๑.หยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข มีผลตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘

ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการลดความตึงเครียดและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคง

๒.การประชุม “ไม่เป็นทางการ” ระหว่างผู้บัญชาการทหารภูมิภาค (กองทัพภาคที่ ๑ และ ๒ ของฝ่ายไทย) และกองทัพภาคที่ ๔ และ ๕ ของฝ่ายเขมร

จะมีขึ้นในเวลา ๐๗.๐๐ น. ของวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘

และอาจมีการประชุมต่อเนื่องกับ “ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร” ภายใต้การนำของ “ประธานอาเซียน” หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ

๓.การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๘ ซึ่งเขมรจะเป็นเจ้าภาพ

นายอันวาร์ นายกฯ มาเลย์ ในฐานะประธานอาเซียน พร้อมประสานงานจัดตั้ง “ทีมผู้สังเกตการณ์” เพื่อตรวจสอบและรับรองการปฏิบัติตามข้อตกลง

โดยจะหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เพื่อร่วมกันสนับสนุนภารกิจการสังเกตการณ์ อันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนสันติภาพ

ไทย-เขมร ยังตกลงที่จะรื้อฟื้นช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกลาโหม ของทั้งสองประเทศ

รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกลาโหมของมาเลเซีย กัมพูชา และไทย

ได้รับมอบหมายให้ “ร่วมกันจัดทำกลไก” โดยละเอียดสำหรับการดำเนินการ ตรวจสอบ และรายงานผลการหยุดยิง

ซึ่งกลไกนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนและความรับผิดชอบร่วมกัน

ที่ประชุมยืนยันเจตจำนงร่วมของมาเลเซีย กัมพูชา และไทย ในการยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

และความร่วมมือพหุภาคี เพื่อแสวงหาทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืนต่อสถานการณ์ดังกล่าว

....................................................

สรุป ประเด็นหลักจากแถลงการณ์ร่วมนี้ คือ

-ตกลงแค่เรื่อง “หยุดยิง” เท่านั้น

-เรื่องแผนที่ เรื่องดินแดน เรื่องปราสาท และอื่นๆ ที่เป็นกรณีพิพาท ไม่เกี่ยวกับหยุดยิง

-เป็นเรื่องทวิภาคี “ไทย-เขมร” จะเจรจากันตามกติการ่วมที่มีอยู่แล้ว ใน ๓ ระดับ

JBC=คณะกรรมการเขตแดนร่วม เพื่อหารือเกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

GBC=คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ระดับรัฐมนตรีว่าการกลาโหม หารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน

RBC=คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ระดับแม่ทัพภาค ตามพื้นที่ชายแดนที่รับผิดชอบ

-ที่ประชุมตั้ง “ทีมผู้สังเกตการณ์” มีหน้าที่คอยตรวจสอบและรับรองว่า ฝ่ายไหนปฏิบัติตามข้อตกลง และฝ่ายไหนเบี้ยวข้อตกลง

นี่....ให้เข้าใจกันให้ชัดๆ

เรื่องหยุดยิงกับเรื่องดินแดน “เป็นคนละเรื่องกัน” อย่าเอาไปปะปน เดี๋ยวจะสับสนว่า ตกลงหยุดยิงหมายความว่าไทยไปตกลง “เรื่องแผนที่-เรื่องดินแดน” กับเขมรแล้ว

ยังหรอก...ยัง มันเป็นคนละเรื่อง-คนละส่วนกัน

เรื่องเขตแดน เรื่องแผนที่ “ไทย-เขมร” ไปว่ากันเองตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้วต่อไป!

และการประชุมที่ประธานอาเซียน “นายกฯ อันวาร์” เป็นเจ้าภาพครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ “นายกฯ ฮุน มาเนต” กับ “นายภูมิธรรม” รักษาการนายกฯ คุยกัน ๒ คน

ยังมีผู้กำกับบทและผู้ควบคุมการแสดงอยู่ด้วย คือ.....

“เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำมาเลเซีย” และ “เอกอัครราชทูตจีนประจำมาเลเซีย” เข้าร่วมในฐานะ “ผู้ไกล่เกลี่ย”

พูดกันตรงๆ คือ ผู้ “ควบคุมกฎ”....

ในโอกาสต่อไป ถ้าเขมรเบี้ยวข้อตกลงหยุดยิง เรียกว่า “เปิดก่อน” ตามสันดานล่ะก็

อีทีนี้แหละ พยานเยอะ ต่อให้นางดอกไม้เขมรออกมากะล่อนข่าว ก็ไม่มีใครฟัง

ไทยที่ไม่เพียงรบเพื่อรักษาปราสาทตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด, ตาเมือนควาย, พื้นที่ช่องบก ที่สุรินทร์ อุบลฯ

และเอาช่องอานม้า ภูมะเขือ พื้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเป็นของไทยอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษกลับคืนมาเท่านั้น หลังจากที่เขมรรุกล้ำเข้ามายึดครองตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ

ยังจะรบเพื่อทวง “ปราสาทพระวิหาร” คืนจากเขมรอีกด้วย!

ต้องไม่ลืมว่าไทยแจ้งสวนสิทธิ์ที่จะรื้อคดีไว้กับสหประชาชาติ เมื่อมีหลักฐานใหม่ยืนยันว่า “ปราสาทพระวิหาร” อยู่ในดินแดนของไทย

ที่แพ้ครั้งนั้น...

เพราะ “ศาลโลก” อยู่ใต้อาณัติจักรวรรดิอำนาจตะวันตกที่เป็นนายเหนือหัวเขมรหรอก ไทยจึงแพ้อำนาจ ไม่ได้แพ้ในข้อเท็จจริง

แล้วดูซี....
เขมรได้ปราสาทพระวิหารไป ไม่ต่างตะกวดได้แก้ว มีค่าสู้หมาเน่าลอยน้ำตัวเดียวก็ไม่ได้ เพราะได้ไปแล้ว เขมรไม่เคยเห็นคุณค่า

ปล่อยปละ ไม่เคยดูแล บูรณะ รักษา ให้สมกับที่เป็นมรดกโลกเลย ปล่อยทิ้งทรุดโทรม ปรักหักพัง ไม่มีคนไปเยี่ยมชม

กระทั่งคนดูแลก็ไม่มี!

ก็จะมีคนไปเยี่ยมชมได้ไง เพราะทางขึ้นอยู่ฝั่งไทย ทางเขมรจะขึ้นไป ก็ต้องเหาะหรือไม่ก็แปลงตัวเป็นจิ้งจก-ตุ๊กแก ไต่หน้าผาขึ้นไป

ดังนั้น เพื่อรักษามรดกสัญลักษณ์อริยะมวลมนุษยชาติให้ดำรงคงอยู่คู่โลก มิใช่เพื่อหวังเป็นสมบัติของชาติใด-ชาติหนึ่ง

ในโอกาสต่อไป ไทยก็น่าจะปรารภกับยูเนสโกถึงปัญหานี้ แล้วดำเนินเรื่องตามครรลอง

สนับสนุนไทยรื้อคดีต่อศาลโลก เพื่อคืนความถูกต้องชอบธรรมให้มวลมนุษยชาติ ด้วยการคืน “ปราสาทพระวิหาร” ให้ไทยเป็นผู้รักษา ดูแลสมบัติเพื่อมวลมนุษยชาติแห่งนี้

 เอาล่ะ สรุปว่า ไทย-เขมร ได้พักรบกันขณะหนึ่ง หลังจาก

คุยกันร่วม ๓ ชั่วโมง กว่าจะตกลงออกมาเป็นแถลงการณ์ร่วม โดยนายกฯ อันวาร์ เป็นโปรโมเตอร์            

โดย “ตัวแทนทรัมป์” และ “ตัวแทนสี” ยืนถือไม้เรียวคุมเชิง!

วันนี้ แม่ทัพภาคที่ ๑ และที่ ๒ ของไทย จะนั่งโต๊ะพูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ ๔ และที่ ๕ ของเขมร ก่อนประชุม GBC ที่เขมรเป็นเจ้าภาพ วันที่ ๔ สิงหา.

ข่าวว่า ก่อนถึง ๒ ยามที่ต้อง “หยุดยิง”

เขมรระดมกำลังบุกชิง “ปราสาทตาควาย” ปะทะกับทหารไทยที่รบเพื่อพิทักษ์ดุเดือดเลือดพล่าน ถึงขั้นพลีชีพไปอีก ๒ นาย ส่วนฝ่ายทหารเขมรยังนับศพไม่ได้!

เหตุจาก ๒ ตระกูล “กัดกัน” นำสู่ “ปัญหาชาติ” ก็ “จบ” ในเรื่องยิงกันไปยกหนึ่ง

แต่เรื่อง “ดินแดน-แผ่นดิน” ยังไม่จบ

ฉะนั้น ขอทุกท่านจงสงบ เพื่อเผชิญกับบทจบอันสุนทรของ “สองพ่อลูก” ที่จะมาถึงก่อน!.

-เปลว สีเงิน”

๒๙ กรกฏาคม ๒๕๖๘

 

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

๕ ธันวา ‘ฟ้าอวยชัย’

๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

ประณีต 'ข้าวแบรนด์โลก'

เมื่อ ๘๐-๙๐ ปี ที่แล้ว.... ในหนังสือเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ครูให้ท่อง “สินค้าส่งออกที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตาของไทย" ไม่ใช่ “ดินสอพอง” หรือ “แป้งผัดหน้า”

เงิน ‘ประชามติ’ แจกน้ำท่วม

มันเป็น “ความสุขอย่างหนึ่ง” ของคน “บางจำพวก” ที่ได้อาศัย “ความทุกข์” ชาวบ้าน จากน้ำท่วมหาดใหญ่และหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ยกเป็นเหตุ ขยี้ขยำ ตำกระทืบ “นายกฯ อนุทิน”

“มิตรในยามยาก”

“หาดใหญ่”...มันใหญ่ที่ไหน รู้มั้ย? มันใหญ่ที่ “ใจ” นั่นไง! มหาอุทกภัยครั้งนี้ ก็เข้าใจ ว่ามันรากเลือดหนักหนา-สาหัส แต่ทำไงได้

‘ดี-ร้าย’ อยู่ที่ ‘มุมมอง’

แล้วก็มาถึง “เดือนสุดท้ายของปี ๒๕๖๘ จนได้! นึกย้อนไปเมื่อ ๒๑ ปีที่แล้ว ๒๖ ธันวา.๔๗ “สึนามิ” ถล่ม ๖ จังหวัดใต้ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต ร่วม ๖,๐๐๐ คน เจ็บประมาณ ๘,๐๐๐ คน และสูญหายจำนวนมาก