“ความจริง” ไม่ใช่เอกพจน์อย่างเดียว…แต่เป็นพหุพจน์เสมอ

ในที่สุดคุณทักษิณ ชินวัตร ติดคุกเสียที ผมไม่ได้เขียนด้วยความสะใจ ไม่ได้เขียนด้วยความดีใจ หรือกระแนะกระแหนอะไรทั้งสิ้น แต่หลังจากที่เล่นเกม หลบหนี หลบซ่อน และทำทุกวิถีทางไม่ให้ติดคุก ในที่สุดความยุติธรรมและความจริง ตามคุณทักษิณจนได้

สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวตอนได้รับข่าวสารว่าศาลตัดสินให้ติดคุกนั้น คือ แล้วอุตสาหกรรม “กูเกลียดทักษิณ” จะทำอะไรต่อ? บรรดาผู้คนที่ตื่นมาเพื่อหาเรื่องด่าทักษิณ เพื่อหาประเด็นต่อว่าทักษิณทุกๆ วัน พวกเขาจะทำอะไรต่อจากนี้? ผมว่าคนที่เป็นทุกข์ไม่ใช่คุณทักษิณ แต่คนเหล่านี้อีกต่างหาก เพราะต้องหาอาชีพใหม่ หลังทำอาชีพนี้มาเกือบ 25 ปีเต็ม

หลังศัตรูหมายเลขหนึ่งรับชะตากรรมของเขาไปแล้ว ศัตรูหมายเลขหนึ่งคน (หรือกลุ่ม) ที่จะมาแทนแฟนคอลัมน์ คิดว่าจะเป็นใคร?

ทุกคนเคยถูกสอนว่า ทุกเรื่องมักจะมีความจริงหลายด้านปรากฏ ถ้าเหรียญมี 2 ด้าน แต่ทุกเรื่องมีมากกว่า 2 ด้าน ชีวิตไม่ง่ายที่จะบอกว่า ถ้าไม่ขาวก็ดำ ถ้าไม่จริงก็ผิด เพราะทุกเรื่องมีความจริงหลายๆด้าน เช่น เรื่องไทย-กัมพูชา เรามีความจริงของเรา เขามีความจริงของเขา แต่ความจริงที่แท้จริงปนกันอยู่ในนั้น ซึ่งผมไม่ได้พูดถึงความถูกต้อง แต่ผมหมายถึงความจริงครับ

เช่นเดียวกับเรื่องคุณทักษิณ ความจริงมีอยู่ว่า การทุจริต การเอาเปรียบประเทศ เป็นความจริงที่ปรากฏ หรือเป็นความจริงที่พวกเราเชื่อ แต่ความจริงอีกด้านคือ แนวความคิดและนโยบายหลายประการของเขา เป็นประโยชน์ต่อประเทศเหมือนกัน ซึ่งผมไม่รู้ว่าคนที่เกลียดคุณทักษิณเข้ากระดูกจะยอมรับความจริงตรงนี้ได้หรือไม่ ถ้าเปิดใจกว้าง และมองโลกตามที่เป็นอยู่ จะเห็นได้ชัดว่า ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งสามารถมีความจริงหลายด้านเกิดพร้อมๆ กัน

ดูกรณีการประท้วงในเนปาล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ตามข่าวที่ปรากฏคือ กลุ่มหนุ่มสาว (หรือกลุ่ม Gen Z) ประท้วงรัฐบาลบนท้องถนนในเมืองหลวง (Kathmandu) จากนโยบายของรัฐบาล ที่จะแบน บรรดาแอปโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ยูทูบ อินสตาแกรม และอื่นๆ จนทำให้กลุ่มหนุ่มสาวนี้ไม่พอใจอย่างยิ่ง กล่าวหาว่ารัฐบาลพยายามเซ็นเซอร์ ปิดหูปิดตาและปิดปาก ปิดเสียงประชาชน ให้ประชาชนรับแต่ข่าวจากรัฐเท่านั้น

พอมีการประท้วง ทางรัฐใช้ความรุนแรงในการควบคุมสถานการณ์ ทำให้เกิดผู้เสียชีวิต 19 ราย เลยยิ่งทำให้กลุ่มหนุ่มสาวออกมาประท้วงมากขึ้น และไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม ทำให้ขับไล่ เผาบ้าน อำมาตย์ เนปาลหลายคนทีเดียว เพราะนอกจากเรื่องความพยายามของรัฐที่จะแบนแอปโซเชียลมีเดียทั้งหลายนั้น ความรู้สึกลึกๆ ของกลุ่มหนุ่มสาวและประชาชนทั่วไปคือ รัฐบาลเนปาลไม่มีความจริงใจ และไม่มีความพยายามแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนที่แท้จริง

เหมือนในกรณีอินโดฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน ความรู้สึกของคนเนปาลที่มีต่อรัฐบาลคือ ความรู้สึกลบ ยิ่งเห็นลูกหลาน กลุ่มอำมาตย์ในเนปาล โพสต์แต่ละครั้งใน โซเชียลมีเดียของเขา อวดชีวิตหรูหรา ท่ามกลางความยากจนของคนทั่วไป คนยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ และไม่พอใจ สิ่งที่พวกเราต้องเข้าใจคือ อัตราว่างงานของกลุ่มหนุ่มสาวเนปาลสูงถึง 20% ครับ

ท่ามกลางความเชื่อว่ารัฐบาลมีแต่อำมาตย์ และรัฐสภาเป็นรัฐสภา “ผัวเมีย” ความรู้สึกของคนทั่วไปคือ ไม่มีใครมีความจริงใจแก้ปัญหาพวกเขาเลย และเขาไม่รู้จะพึ่งใครได้ เนื่องจากกลุ่มอำมาตย์ไม่เคยเป็นที่พึ่ง อันนี้คือสิ่งที่เป็นข่าวที่ตามง่าย เชื่อง่าย และเป็นความจริงที่ปรากฏครับ

แต่ถ้าเราเข้าใจว่า “ความจริง” เป็นพหูพจน์ ไม่ใช่เอกพจน์ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีเนปาล (KP Sharma Oli) ประกาศก่อนจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ (หรือจะเรียกว่าถูกขับไล่ก็ยังได้) ว่าที่จะต้องแบนแอปโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ใช่เพื่อปิดหูปิดตา ปิดปากและปิดเสียงประชาชน แต่เพราะแอปเหล่านี้ไม่ได้ลงทะเบียนกับกระทรวงคมนาคมตามข้อตกลง หรือตามวันเวลาที่กำหนด

Oli บอกว่าปัญหาในเนปาล ในโลกโซเชียลมีเดียคือมีบรรดานักเลงคีย์บอร์ด และแฮ็กเกอร์ที่ไม่มีตัวเป็นตน ใช้ชื่อปลอม profile ปลอม เพื่อเผยแพร่ ข้อมูลให้เกิดความแตกแยก ข้อมูลสร้างความเกลียดชัง fake news ให้เกิดความสับสน และใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้หากิน หาเงิน และหลอกลวงคนเนปาลไปวันๆ ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมและรัฐบาลขีดเส้นใต้วันที่ 28 สิงหาคม เป็นวันสุดท้ายที่แอปโซเชียลมีเดียทั้งหลายจะต้องลงทะเบียนเพื่อรับอนุญาตใช้ในประเทศต่อ รัฐจะได้ครอบคลุมและดูแลง่ายขึ้น (ปรากฏว่าไม่มีแอปได้ลงทะเบียนแม้แต่รายเดียว)

นอกจากนั้น Oli บอกว่า ที่จะต้องให้แอปทั้งหลาย ต้องลงทะเบียน เพราะถึงเวลาที่แอปเหล่านี้จะต้องถูกเก็บภาษี และมีรายได้เข้าประเทศบ้าง ไม่ใช่คิดเปิดอะไรก็ได้ในประเทศ โกยกำไรมหาศาล โดยที่ไม่มีอะไรเข้าประเทศนั้นๆ สร้างความวุ่นวายและความแตกแยกในประเทศ และในที่สุดไม่รับผิดชอบอะไร เพราะกฎหมายในประเทศจัดการอะไรเขาไม่ได้ Oli บอกว่ามันไม่ยุติธรรมที่บริษัทข้ามชาติจะเข้ามามีอิทธิพลต่อคนเนปาลขนาดนี้แต่ไม่ต้องเสียภาษี และไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรใดๆ ทั้งสิ้น

จากแง่มุมนี้ Oli พูดถูกแสนล้านล้านเปอร์เซ็นต์ครับ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาล เกิดขึ้นในหลายประเทศ (รวมถึงไทยด้วย) ที่บริษัทข้ามชาติไม่มีตัวมีตนในประเทศนั้นๆ แต่ทำธุรกิจ ทำเงิน ทำกำไร และไม่เสียภาษีให้ประเทศนั้นๆ แม้แต่สลึงเดียว อันนี้ก็ไม่ถูก และอันนี้ถ้ามาจากความจริงใจของ Oli ก็ถือว่าเขาทำหน้าที่ได้ดี

แต่บังเอิญภาพพจน์รัฐบาล และรัฐสภาของเนปาล ออกมาในทางเสียหาย คนก็เลยไม่เชื่อสิ่งที่ Oli อ้าง คนเนปาลไม่แน่ใจว่าที่อ้าง อ้างเพื่อปิดบัง หรือเบี่ยงเบนความตั้งใจจะปิดหูปิดตา ปิดปากปิดเสียงประชาชน หรือทำเพื่อประโยชน์ประเทศจริงๆ? ถ้ามองโลกสวยคือ เรื่องการชุมนุมในเนปาลมีความจริงหลายด้านปรากฏ ความจริงของกลุ่มหนุ่มสาวไม่พอใจต่อกลุ่มอำมาตย์ ความจริงที่รัฐบาลใช้ความรุนแรงเกินในการสลายผู้ประท้วง และความจริงที่ Oli พูดเกี่ยวกับแอปโซเชียลมีเดียทั้งหลาย

ในโลกสวยมันต้องมีคำว่าใครผิดใครถูกแน่นอนครับ เมื่อมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจากฝีมือรัฐบาล ในกรณีเนปาลและอินโดฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้ประท้วงเป็นผู้บริสุทธิ์ที่แท้จริง ยังไงๆ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าต้นเหตุในการชุมนุมเป็นเรื่องการแบนแอปโซเชียลมีเดีย และ Oli หยิบยกความจริงมาพูดในการชุมนุมครั้งนี้ มีคำว่าผิดถูกไหมครับ?

ผู้ชุมนุมมีความจริงของเขา เป็นความรู้สึกที่ฝังลึกในใจมานาน บวกกับความเชื่อว่ารัฐบาลพยายามปิดหูปิดตาเขา ทำให้เขาเชื่อได้ว่ากลุ่มอำมาตย์ในรัฐบาล ไม่เคยแยแส หรือไม่เคยจริงใจแก้ปัญหาเขาเลย แต่สิ่งที่รัฐบาลพูดเกี่ยวกับแอปโซเชียลมีเดีย ก็คือความจริงด้วย ส่วนรัฐบาลจะใช้ความจริงตรงนี้มาปิดบังความพยายามปิดปากประชาชนจริงๆ พวกเราไม่มีทางรู้เลย เพราะเราได้แต่ตามข่าวจากข้างนอกกัน

ดังนั้นทุกเรื่องมีความจริงหลายๆ ด้านปรากฏอยู่ เช่นเดียวกับกรณีคุณทักษิณครับ จะรักเขา จะเกลียดเขา ส่วนดีเขาก็มี พอๆ กับส่วนไม่ดี เหมือนพวกเราทุกคนครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

SEA Games แบบไทยๆ

คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ

ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?

“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”

'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?

เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า

'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'

วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน

SNAP ดีหรือไม่ดี?

ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม

Back to the Future…

กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน