‘สงครามไฮบริด’ ของรัสเซียต่อยูเครน

นั่นคือการผสมผสานของ “สงครามไซเบอร์” กับการก่อความปั่นป่วนต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และการสร้างข่าวปลอมว่ามีการวางระเบิดตรงนั้นตรงนี้ตลอดเวลา

เพื่อเขย่าขวัญของรัฐบาลและประชาชนชาวยูเครนจนไม่เป็นอันอยู่สุข

อีกด้านหนึ่ง “สงคราม” ที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วในรูปแบบของการที่รัสเซียให้การสนับสนุนต่อกลุ่มแยกดินแดนที่แคว้นดอนบัสที่มีการสู้รบเป็นระยะๆ กับทหารของรัฐบาลกลางยูเครน

นั่นคือการบ่อนทำลายความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐบาลยูเครนอย่างต่อเนื่อง

หากรัสเซียจะยกระดับ “สงครามไฮบริด” นี้ก็อาจจะมาในรูปของการทำสงครามจิตวิทยา สร้างกระแสความไม่พอใจในหมู่คนยูเครนเพื่อลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล

เมื่อได้จังหวะเหมาะเจาะ รัสเซียก็อาจจะสวมรอยเข้ามาสนับสนุนให้มีการก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ข่าวกรองอังกฤษบอกถึงขั้นว่าสายของรัสเซียอาจจะกำลังหาทางให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในยูเครน จนถึงขั้นสามารถสนับสนุนให้คนที่มีแนวทางเป็นพวกเดียวกับมอสโกขึ้นบริหารประเทศแทนผู้นำที่โอนเอียงไปทางตะวันตกอย่างวันนี้

แผนต่อมาของมอสโกคือ การทำให้ประเทศของพวกเขาอ่อนแอลงและสร้างความตื่นตระหนก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่พอใจและการประท้วงแบบรัสเซียที่ก่อขึ้นในยูเครนตะวันออกมาก่อนแล้ว

เมื่อเดือนก่อนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรอ้างว่าได้พบแผนลับของการก่อรัฐประหารโค่นรัฐบาลของประธานาธิบดีเซเลนสกี เพื่อจะได้ “ตั้งหุ่นเชิดที่ฝักใฝ่รัฐบาลรัสเซีย”

ตามแนวทางวิเคราะห์นี้ด้วยกลวิธีแบบนี้ รัสเซียสามารถรักษาแรงกดดันต่อยูเครนโดยไม่ต้องทำให้สถานการณ์ถึงขั้นเปิดศึกยกทัพรัสเซียเข้ายึดยูเครนแต่อย่างใด

หากเป็นเช่นนั้นจริง ปูตินก็สามารถป่าวประกาศให้ทั้งโลกได้ยินว่ารัสเซียไม่มีแผนการจะบุกยูเครนอย่างที่ตะวันตกกล่าวหาเลยแม้แต่น้อย

และสามารถจะอ้างว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องความล้มเหลวของรัฐบาลยูเครนปัจจุบันเอง

รัสเซียในฐานะมีชายแดนติดกับยูเครนจำเป็นต้องดูแลพรมแดนของตนเองด้วยการระดมทหารมาประชิดติดชายแดน เพื่อไม่ให้ความวุ่นวายทั้งหลายลามเข้าในประเทศของตน

ที่ปรึกษาความมั่นคงของรัฐบาลยูเครนยืนยันว่า

“ภารกิจอันดับ 1 ของรัสเซียคือการบ่อนทำลายเราจากภายใน”

โดยภาษาทางการแล้วรัสเซียตอกย้ำตลอดว่า ไม่มีแผนใดๆ ที่จะบุกรุกหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อยูเครน

มอสโกแย้งว่าตะวันตกกำลังสร้างความเสียหายให้กับอดีตสาธารณรัฐโซเวียต โดยพยายามรวมประเทศเหล่านี้เข้าเป็นพันธมิตรเพื่อล้อมปราบรัสเซียเป็นหลัก

เรื่องราวของรัสเซียที่ใช้สงครามไฮบริดกับเพื่อนบ้านนั้นเคยเกิดกับจอร์เจียในปี 2008

และกลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลมาแล้วกับไครเมียเมื่อปี 2014

ในปีนั้นรัสเซียไม่ต้องส่งทหารเข้าไครเมียเพื่อเปิดศึกสงคราม แต่ใช้การออกข่าวสร้างกระแสความไม่พอใจของคนไครเมีย (ซึ่งมีจำนวนมากที่มีเชื้อสายรัสเซีย) ต่อรัฐบาลกลาง

พอถึงจุดหนึ่ง คนไครเมียมีจำนวนมากพอที่จะเรียกร้องให้รัสเซียเข้ามาปกป้องพวกเขาจากการคุกคามของรัฐบาลยูเครนส่วนกลางก็เปิดโอกาสให้รัสเซียเข้าไครเมีย

จนกลายเป็นการผนวกไครเมียกลับไปเป็นของรัสเซีย โดยที่สหรัฐฯ และนาโตทำอะไรไม่ได้จนถึงวันนี้

วันนี้ปูตินกล่าวหาสหรัฐฯ และนาโตว่ากำลังพยายามจะกดดันรัสเซียเพื่อจะเอาไครเมียคืนไปเป็นของยูเครน

ยูเครนเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรปและมีเศรษฐกิจที่เปราะบาง

การระดมทหารของรัสเซียตรงชายแดน ทำให้นักลงทุนหยุดโครงการและดึงเงินออกจากประเทศ สกุลเงินประจำชาติ Hryvnia อ่อนค่าลง

รัสเซียประกาศซ้อมรบทางทะเลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในทะเลดำ ประกาศปิดแนวน้ำตามแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของยูเครน ขัดขวางการจราจรไปยังท่าเรือสำคัญเพื่อการส่งออก

กระทรวงการต่างประเทศของยูเครนร้องเรียนว่า นั่นทำให้มีผลทางลบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก

“การทำสงครามทางเศรษฐกิจของรัสเซียกับยูเครนยังคงดำเนินต่อไป” สถานทูตสหรัฐฯ ในเคียฟเขียนขึ้นบนทวิตเตอร์

รัสเซียมีการจราจรทางทะเลที่จำกัดมานานสู่ทะเลอาซอฟผ่านช่องแคบเคิร์ช ก่อให้เกิดสิ่งที่ยูเครนกล่าวว่าเป็นการ “ปิดล้อมท่าทะเล” บางส่วน รวมถึงศูนย์กลางอุตสาหกรรมมาริอูปอล

นี่คือกลยุทธ์แห่ง “สงครามลูกผสม” ที่นำไปสู่การเผชิญหน้าที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียในรูปแบบอื่นๆ ที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย.