เรื่องของ ‘หนู’ กิน ‘เสือ’

ช่วงนี้ รัฐบาลก็ใหม่ นายกฯ ก็ใหม่ แม่ทัพ-นายกอง ก็ใหม่

ที่ “ไม่ใหม่” มีอย่างเดียว

คือ “ปัญหาเก่าๆ” ที่ฉุดรั้งประเทศไทยให้เดินหน้าไม่ได้!

ทั้งเรื่องคอร์รัปชัน เรื่องเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้าน เรื่องการศึกษา เรื่องเลือกตั้งคือช่องทางให้โจรเข้าปล้นบ้านเมือง

และเรื่องชายแดนที่ไทยสุขุมคัมภีรภาพในการจัดการมากไป

ท่องแต่คำว่า “จะรักษาอธิปไตย....

ไม่ยอมให้ใครมาเอาแผ่นดินไทยไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” ซ้ำซากเป็น “แผ่นเสียงตกร่อง”

จนชาวบ้านออกปากร้อง “พิรี้-พิไรอยู่ได้” น่าเบื่อ!

จะเอายังไงก็เอาให้มันจบๆ กันไป จะรบ-ก็รบ จะเลิก-ก็เลิก จะได้ออกทำไร่-ทำนากันซะที วันๆ ผวาแต่ระเบิดเขมรอยู่อย่างนี้ มันเครียดโว้ย!

ผมฟังแล้วก็เข้าใจ เพราะในปัญหาเดียวกัน แต่โจทย์ที่ฝ่ายรัฐบาล, ฝ่ายกองทัพต้องแก้ มันเป็นโจทย์หนึ่ง

แต่ในวิถีชาวบ้าน มันเป็น “โจทย์ชีวิตความเป็นอยู่” ซึ่งคนละแบบกับโจทย์ “รัฐบาล-กองทัพ” อันเป็นโจทย์อธิปไตยของชาติ “รบแล้วต้องชนะ” สถานเดียว!

ปัญหาพิพาทชายแดนไทย-เขมรนี้ เท่าที่ผมมอง ไทยเราเป็นฝ่ายตั้งรับ ในขณะที่เขมรเป็นฝ่ายรุก

ใน “ทุกเกม” ฝ่ายตั้งรับ มีแต่ “เสมอ” กับ “แพ้”

“ฝ่ายรุก” มีแต่ “เสมอ” กับ “ชนะ”!

อย่างเขมรตอนนี้ ถือว่า “ได้เปรียบไทย” เพราะเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ายึดครองแผ่นดินไทยไว้หลายจุด ทั้งอีสานใต้ ทั้งตะวันออก ที่สระแก้ว และจันทบุรี-ตราด

ถ้ามัวแต่เป็นสุภาพบุรุษโลก สมมุติขึ้นโต๊ะเจรจา เขมรจนแต้ม อย่างดีเขมรก็แค่คืนแผ่นดินไทยที่เขารุกล้ำ นั่นเท่ากับเขา “เสมอตัว”

ส่วนไทย เจรจาแล้ว เขมรดื้อแพ่ง ไม่คืนแผ่นดินให้ไทย นั่นเท่ากับไทยแพ้สถานเดียว อย่าว่าแต่ชนะเลย เสมอตัวก็ยังไม่มี!

 เรื่องดินแดนของเรา ยังไงก็ต้องเอาคืนมาให้ได้ก่อน

“ผิด-ถูก” อย่างไร ก็ไปว่ากันทีหลังบนโต๊ะ จะเจรจาตกลง-ไม่ตกลง ยืดเยื้อเป็นร้อยปีก็ ไม่เป็นปัญหา  ในเมื่อดินแดนนั้น “อยู่ในมือของเรา” แล้ว!

พระท่านว่า “วันทะโก ปฏิวันทะนัง” ผู้ไหว้ ย่อมได้รับการไหว้ตอบ

นั่นเป็นการปฏิบัติต่อกันของผู้เจริญแล้ว พูดง่ายๆ ว่า สำหรับ “คนศีลเสมอกัน”

แต่กับเขมร “จอมเนรคุณ” นึกหรือว่าคนพรรค์นี้  “ทำดีแล้วมันจะดีตอบ”!?

โลกทุกวันนี้ จะหวังให้ใครมา “ตัดสินผิด-ตัดสินถูก” ให้ไม่ได้แล้ว เมื่อถึงเวลา จำเป็นที่เราต้อง “ตัดสินด้วยตัวของเราเอง”

มีอะไรเกิดขึ้น ค่อยไปแจงเหตุผลกัน

และในทุกการเจรจา ฝ่ายที่มีแต้มต่ออยู่ในมือเท่านั้น จะเป็นฝ่าย “ยื่นเงื่อนไข” ให้อีกฝ่ายยอมตกลง

สังคมโลก มันถึงยุค “ตัวใคร-ตัวมัน”

สิทธิ์ของใคร ก็ต้องพิทักษ์สิทธิ์ของตัวเองไว้ อย่าหวังไปรอความยุติธรรมจากพระเจ้าองค์ไหนมาประทานให้ มันไม่มีหรอก!

โบราณว่า “ช้าเป็นการ นานเป็นคุณ”  

แต่กับเรื่องเขมร “ช้าเสียการ นานเสียแผ่นดิน”!

“รัฐบาล-กองทัพ” อย่าไป “แคร์ เวิลด์” ให้มันมากนัก จำไม่ได้หรือ ไทยเคยเป็น “เด็กดี” ของสหรัฐฯ

แล้วได้อะไร คราว “ต้มยำกุ้ง” ไปขอกู้เงิน สภาคองเกรสและ “บิล คลินตัน” ตอบว่าไงรู้มั้ย?

“ไทยอยู่ห่าง ไม่มีความจำเป็นต้องไปช่วยเหลือ!”

ไม่ยอมให้กู้แม้แต่บาทเดียว แต่กับเม็กซิโก “คนใกล้บ้านเขา” ทุ่มให้เต็มพิกัด!

นี่ผมก็บ่นไปตามเรื่อง คงไม่สบอารมณ์กองทัพนักหรอก  เมื่อก่อน กองทัพอ้าง “ต้องรอรัฐบาลสั่ง”

แต่ตอนนี้ ได้ยิน “นายกฯ อนุทิน” พูดเป็นร้อยครั้งแล้วมั้ง “ผมมอบอำนาจให้กองทัพตัดสินใจได้เลย”

กองทัพจะตัดสินใจยังไง จะให้ทหารนอนเอาไข่แช่น้ำอยู่ในบังเกอร์ รอให้เขมรบุกมาฆ่าซะก่อน แล้วค่อยตอบโต้งั้นหรือ?

คุยเรื่องสนุกบ้างดีกว่า.....
เมื่อวาน มีแฟนท่านหนึ่งคอมเมนต์มา ดังนี้

Choosri Kaewprasert

สงสาร.นายกหนูค่ะ..เสือ.สิงห์..กระทิง...แรด..หมา(บ้า)คอย.จ้องกัด..จ้องขย้ำ.แต่หนูอย่างไรก็ชนะราชสีห์..ใช่มั้ยคะอาจารย์

ขอร้องละครับ อย่าเรียกผมว่าอาจารย์เลย เดี๋ยวขี้กลากขึ้นตูด!

ไม่ต้องไปสงสารท่านหรอก เพราะท่านเป็น “นายกฯ หนู” ไม่ใช่ “นายกฯ หมู”

ดูวันแถลงนโยบายรัฐบาลในรัฐสภา ๒ วันก่อนเห็นมั้ย ขนาดถูกฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้น รุมกินโต๊ะ นายกฯ หนูบอก...หนูนี่แหละจะจับเสือกิน!

“จิราพร สินธุไพร” พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีหางเครื่องนายกฯ แพทองธาร อภิปรายใส่สี “นายกฯ อนุทิน”

ประมาณว่า การถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ช่วงนายกฯ อุ๊งอิ๊งถูกให้พ้นจากตำแหน่ง สอดคล้องกับที่ฮุน เซน ประกาศ ว่าไทยจะเปลี่ยนนายกฯ ในอีก ๓ เดือน

สงสัยนายกฯ อนุทิน จะมีอะไรเป็นฉากหลังกับเขมร ทำนองนั้น

เรื่องนี้ นายไม่ได้ว่า แต่เมื่อขี้ข้าพลอย ก็เลยถูกนายกฯ อนุทิน “แฉเบื้องหลัง” เสียทั้งคนในพรรค และคนในคุก

ก็ลองอ่านที่ “นายกฯ อนุทิน” ร่ายสดพอเป็นน้ำจิ้มดูนะ

“ผมขอขอบคุณ นางสาวจิราพร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่เราเคยอยู่ในรัฐบาลเดียวกันมาก่อน และขอชี้แจงทีละข้อ เพราะผมคิดว่าท่านพยายามที่จะใช้วาทกรรม ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมเคยชื่นชมนางสาวจิราพรมาโดยตลอด

ว่าเวลาท่านชี้แจงต่อรัฐสภาหรืออภิปรายเวลาพูดความจริงท่านดูจะน่าเชื่อถือมาก

แต่เวลาพูดความเท็จ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านขาดความมั่นใจ ท่านเริ่มมาด้วยคำว่า พยายามจะทำให้เห็นว่าตัวของผมกับผู้นำกัมพูชา น่าจะรู้อะไรกัน

เพราะผู้นำกัมพูชา เคยกล่าวไว้ว่า “จะเปลี่ยนรัฐบาลใน ๓ เดือน”

จริงๆ ผมไม่รู้จักผู้นำกัมพูชาในทางส่วนตัวเลย ผมเพิ่งเคยพบกับท่านสมเด็จเตโชฮุน เซนครั้งแรก อย่างเป็นทางการ

ก็เพราะผมได้ติดตามนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ที่ไปเยือนกัมพูชา เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง

ผมก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นรัฐมนตรีองค์ประกอบของคณะท่านนายกฯ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ที่เป็นส่วนตัว”

ส่วนที่ นางสาวจิราพร ระบุว่า “คงมีการตกลงอะไรกันมาก่อนเบื้องหลังหรือไม่” ผมขอยืนยันว่า “ไม่มี”

เต็มที่ ที่ผมมีในกัมพูชาคือ “เพื่อน” ที่นั่น ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจอะไรในรัฐบาลนั้น

"ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล มีแต่เฟรนด์ มีแต่เพื่อน" และไม่เคยพูดถึงเรื่องของการบริหารแผ่นดินหรือข้อเสนอแนะอะไรที่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว  

ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยว่าเมื่อผมกลับมาแล้วจากการติดตาม น.ส.แพทองธาร เพื่อนๆ ของผมที่รู้จัก โทร.มาบอกผมว่า

“รู้หรือไม่ที่เขาไม่ให้ผมเข้าที่ประชุมหลายที่นั้น เพราะเขา (แพทองธาร) ไปแจ้งผู้นำเขาว่า “ไม่ต้องไปคุยอะไรกับผมมาก เพราะเขาจะปลดผมออกจาก มท.๑ แล้ว”

นี่คือข้อมูลที่ผมรับทราบมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมมองว่า ข้อมูลที่ผมจะเชื่อมากที่สุด ต้องเป็นข้อมูลที่ผมต้องได้รับแจ้งจากนายกฯ เท่านั้น

แต่ในที่สุด วันหนึ่งผมก็ได้รับการแจ้งเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนา.๖๘ ว่า “พรรคเพื่อไทย” ต้องการ “กระทรวงมหาดไทย” คืน และขอให้ผมย้ายไป “กระทรวงสาธารณสุข”

ผมก็กราบเรียนกลับไปว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ มันก็เปรียบเสมือนเป็นข้อเสนอที่ท่านต้องการให้ผมปฏิเสธ และขอให้พูดตรงๆ ว่าให้ผมออกจากรัฐบาลเลยดีกว่า”  

แต่ น.ส.แพทองธารท่านรักษามารยาท  ท่านบอกว่าไม่ใช่ แต่ไม่ให้อยู่ “กระทรวงมหาดไทย” ต้องไปอยู่ “กระทรวงสาธารณสุข”

ผมก็ถามกลับไป “แล้วทำไมถึงต้องให้ผมกลับไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข?”

เพราะผมเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ยืนอยู่เคียงข้างนายกรัฐมนตรีในทุกขณะ  ไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้ายของท่าน

ปกป้องให้ข้อเท็จจริงเมื่อนายกฯ ถูกกล่าวหา ซึ่งท่านนายกฯ ก็ทราบดี แต่ท่านตอบว่า

 “ใกล้เลือกตั้งแล้ว เพื่อไทยต้องได้มหาดไทย”

ผมจึงถามต่อไปว่า “อะไรที่ทำให้ท่านเชื่อว่าการที่ได้กำกับกระทรวงมหาดไทยแล้วท่านจะชนะการเลือกตั้ง

 เพราะพ่อผมเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นถึง ๒ ปีกว่า แต่พอเลือกตั้ง ก็แพ้พรรคเพื่อไทยราบคาบในปี ๒๕๕๔ ทำไมท่านถึงคิดเช่นนี้?

ปรากฏว่าไม่มีคำตอบ....

 เพราะคำตอบก็คือ...ก็จะเอากระทรวงมหาดไทยคืน!

แต่ผมเชื่อว่า น.ส.แพทองธาร ท่านไม่ได้พูดจากความต้องการในใจของท่านเอง ต้องมีคนบอกให้ท่านพูด

เพราะในที่สุด “เลขาฯ นายกฯ” ก็มายืนยันกับผมว่า “ไพ่ใบสุดท้าย”!

และผมหวังว่าคนที่พูดคำนี้กับผม จะจำได้ว่าพูดกับผมที่ไหนว่า “ไพ่ใบสุดท้ายคุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข”

ถึงตอนนี้ นางสาวจิราพร ประท้วงว่า “นายกฯ กำลังเล่นซีน ดรามากับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในสภาแห่งนี้

นายกฯ อนุทิน โต้กลับทันทีว่า......

“ผมไม่ได้เล่นซีนดรามา ผมเล่าความจริง ท่านต่างหาก ท่านอย่าบอกว่าดรามา เพราะท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้น ผมอยู่ตรงนั้น

เรามายืนยันตรงนี้เลยก็ได้ ว่าท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้น จะมาบอกว่าดรามาได้อย่างไรว่าท่านไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนั้นเลย”

เลขาฯ นายกฯ มาหาผมถึงกระทรวงมหาดไทยและบอกว่าต้องเป็นเช่นนี้ “เป็นไพ่ใบสุดท้าย”

ซึ่งวันนั้น ก็คือวันที่ผมได้ฝากเลขาฯ ท่านนายกฯ กราบเรียนนายกฯ ว่า "พรรคภูมิใจไทยขอถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล"!

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ช่างบังเอิญเหมาะเจาะ ที่มี "คลิปเสียงอังเคิล" ออกมาพอดี

ก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจถอนตัวของเรานั้น ทำให้เราเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องถอนตัวแล้ว

 “ไม่ใช่ถอนตัวเฉพาะเค้าเชิญออกจากรัฐบาลเพราะกระทรวงมหาดไทย

แต่เมื่อมีเรื่องคลิปเสียงแล้วมันเป็นเรื่องของบ้านเมือง และเป็นสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดความเสียหาย

และรัฐบาลขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น”

 ในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ จึงเป็นสาเหตุในการถอนตัวของเราและไม่มีเหตุอื่นๆ

เมื่อถอนตัวออกจากรัฐบาลแล้ว มีเหตุการณ์อะไรที่พิสดารหรือไม่ ผมยืนยันว่าไม่มี

............................................

เอาเท่านี้ก็พอหายห่วง “นายกฯ หนู” ได้แล้วมั้ง?

 “เสือ” น่ะ มันชอบหลอกกินคนตาบอด

แต่ “หนู” กินเสือที่ชอบหลอกกินคนตาบอด...จบนะ!

-เปลว สีเงิน

๒ ตุลาคม ๒๕๖๘

 

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

๕ ธันวา ‘ฟ้าอวยชัย’

๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

ประณีต 'ข้าวแบรนด์โลก'

เมื่อ ๘๐-๙๐ ปี ที่แล้ว.... ในหนังสือเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ครูให้ท่อง “สินค้าส่งออกที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตาของไทย" ไม่ใช่ “ดินสอพอง” หรือ “แป้งผัดหน้า”

เงิน ‘ประชามติ’ แจกน้ำท่วม

มันเป็น “ความสุขอย่างหนึ่ง” ของคน “บางจำพวก” ที่ได้อาศัย “ความทุกข์” ชาวบ้าน จากน้ำท่วมหาดใหญ่และหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ยกเป็นเหตุ ขยี้ขยำ ตำกระทืบ “นายกฯ อนุทิน”

“มิตรในยามยาก”

“หาดใหญ่”...มันใหญ่ที่ไหน รู้มั้ย? มันใหญ่ที่ “ใจ” นั่นไง! มหาอุทกภัยครั้งนี้ ก็เข้าใจ ว่ามันรากเลือดหนักหนา-สาหัส แต่ทำไงได้

‘ดี-ร้าย’ อยู่ที่ ‘มุมมอง’

แล้วก็มาถึง “เดือนสุดท้ายของปี ๒๕๖๘ จนได้! นึกย้อนไปเมื่อ ๒๑ ปีที่แล้ว ๒๖ ธันวา.๔๗ “สึนามิ” ถล่ม ๖ จังหวัดใต้ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต ร่วม ๖,๐๐๐ คน เจ็บประมาณ ๘,๐๐๐ คน และสูญหายจำนวนมาก