
พรุ่งนี้ครบรอบ 9 ปีวันสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 9 (ของเรา) ผมขอออกตัวว่าจะขออนุญาตใช้คำศัพท์ง่ายๆ ในวันนี้ บอกตามตรงว่าผมไม่แม่นราชาศัพท์ครับ ถ้าดูลิเก อ่านนิยาย ดูละคร แล้วเขาใช้ราชาศัพท์ ผมตามทันและรู้เรื่อง แต่ถ้าอยู่ๆ ผมต้องเขียนเอง พูดเอง โดยไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีกรอบ ไม่มีแนว หรือไม่มีสคริปต์นั้น จากที่เคยต้องใช้เวลาชั่วโมง-ชั่วโมงครึ่งในการเขียนคอลัมน์ทุกครั้งนั้น จะต้องใช้เวลาเป็นวันแทน
ผมพูดอยู่เสมอว่า ในชีวิตคนเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนไทย ชาวต่างชาติ จะรวย จะจน สูงอายุหรือไม่ ไม่ว่าจะยุคไหน หรือชาติไหนก็ตาม ในชีวิตคนเราทุกคนจะมีอยู่ไม่กี่เหตุการณ์ที่เราจะ
จดจำและจารึกไว้ตลอดไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเพียงแค่นึกถึงหรือจำได้ แต่ผมหมายถึงเราจะจำทุกอิริยาบถ ทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ ความรู้สึก แม้แต่กลิ่นช่วงวินาทีเกิดเหตุ
ของผมคือ วันที่รับข่าวคุณพ่อเสียชีวิต ผมจำได้ว่าผมอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร และความรู้สึกตอนที่รับข่าวช่วงแรกๆ จำทุกอิริยาบถ จำบรรยากาศ จำคำพูด แม้แต่จำกลิ่นของห้อง รู้เลยว่าถ้าต้องสัมผัสกับกลิ่นนั้นๆ อีกครั้ง จะย้อนกลับไปวินาทีที่ได้รับข่าวคราวเรื่องคุณพ่อทันที
อีกครั้งคือ ทั้ง 2 ครั้งที่แฟนผมบอกว่าเขาท้อง ผมจำความรู้สึกดีใจ ตื่นเต้น และความภาคภูมิใจที่รู้ว่าชีวิตนี้ผมมีโอกาสได้เป็นพ่อ จนถึงบัดนี้ผมยังรู้สึกขนลุกและดีใจอยู่ ผมยังจำความรู้สึกดีใจที่ ได้บอกคุณแม่ว่าเขากำลังจะเป็นคุณย่าด้วย
อีกเหตุหนึ่งคือ 9 ปีที่แล้ว ตรงกับวันที่ 13 ตุลาคม ตอนนั้นผมเพิ่งรับตำแหน่งไปอยู่อินโดฯ ใหม่ๆ ในฐานะเลขาธิการสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) เพิ่งเริ่มวาระของผม วันที่ 1 ตุลาคม ปี 2559 ในช่วงสัปดาห์ 2 สัปดาห์แรก ผม แฟนผม (ที่กำลังท้องแก่ลูกคนที่ 2) ลูกคนแรก พร้อมพี่เลี้ยงของเขา ไปอยู่ที่นู่นกัน เพื่อไปดูบรรยากาศของบ้านใหม่ของผม และถือโอกาสช่วยหาของใส่บ้าน แล้วเอาเข้าจริง ไปเที่ยวในตัวด้วยครับ
ตั้งแต่ก่อนไป เริ่มมีข่าวปรากฏตามหน้าเพจต่างๆ ในโซเชียลมีเดียเรื่องพระอาการและพระพลานามัยของในหลวง แต่ละเพจจะอ้าง “วงใน” บ้าง “แหล่งข่าว” บ้าง แต่ละรายแต่ละที่ก็จะเขียนไปเรื่อยๆ ของเขา ซึ่งน่าเชื่อถือบ้าง ดูมั่วบ้าง แต่พอวันที่ 12 เริ่มมีข่าวปรากฏมากขึ้น ถี่ขึ้น ออกไปในแนวเดียวกัน
ยิ่งพอช่วงเช้าวันที่ 13 ยิ่งหนาหู ยิ่งหนักมากขึ้น….จนถึงช่วงเย็นที่ได้รับข่าวคราวทำให้สลดใจ
ผมคิดไม่ออกว่าบรรยากาศในไทยช่วงวันนั้นเป็นอย่างไร เพราะอย่าลืมว่าผมไม่ได้อยู่ที่ไทยครับ พวกเราเพิ่งไปอยู่อินโดฯ ไม่กี่วัน ดังนั้น ข่าวคราวที่พวกเราได้รับทราบผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก คนไทยที่รู้จัก (ที่นู่น) ก็เพิ่งรู้จักกัน ไม่ได้สนิทสนมอะไรมากมาย แล้วถ้าเอาเข้าจริง เขาคงรู้ข่าวคราวพอๆ กับที่เรารู้ ดังนั้นเหมือนว่าเราอยู่กันเพียงลำพัง เรามีกันแค่เรา 4 คนเท่านั้น ต่างคนต่างดูโซเชียลมีเดียของตัวเองเพื่อหาข้อมูลให้ได้ บอกเลยว่าวันนั้นเป็นวันที่ตึงเครียด
อยากรู้ก็ต้องรู้ ส่วนไม่อยากรับข้อมูลที่จะได้ยิน มีอยู่เยอะครับ แต่ไม่รู้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นเพราะความจริงที่รับไม่ได้ ความจริงที่ไม่อยากยอมรับนั้น โอกาสเกิดขึ้นมีสูง
ย่านที่ผมอยู่ถือว่าเป็นย่านที่เจริญมากๆ ของจาการ์ตา ปัญหาอยู่ที่ว่าถนนเส้นที่ผมอยู่เหมือนเป็นช่วงบอดของระบบอินเทอร์เน็ตและ WIFI เหมือนเป็นช่วงทับซ้อนระหว่างค่ายกับเสา เลยทำให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตความแรงอ่อน ตามอารมณ์ ตามจังหวะ ตามดวง ซึ่งผมรู้ตัวต่อเมื่ออยู่ที่นู่นสักพัก แต่อย่าลืมว่า ณ เวลา วันที่ 13 ตุลา.เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ผมเพิ่งอยู่ที่นู่นใหม่ๆ เลยไม่ทราบลึกซึ้งเรื่องราวอินเทอร์เน็ตและ WIFI ที่ถนนบ้านผม เลยต้องหาทุกวิถีทางในการหาจุดที่คลื่นมีความมั่นคงและเสถียรภาพที่สุด
เนื่องจากเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น ที่มีประมาณ 7 ห้อง จะต้องพยายามนั่งหาคลื่นที่แรงสุดในบ้านให้ได้ ผมไม่รู้ว่าแม่บ้านอินโดฯ คิดอย่างไร แต่เขาคงรู้สึกแปลกใจที่ 4 คนนี้เดินทุกตารางนิ้วของบ้าน และเอาแล็ปท็อป ไอแพดและโทรศัพท์ออกมาจัดวางทุกจุด อย่าคิดว่าแม่บ้านอินโดฯ คนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก เขาพูดได้ระดับหนึ่ง แต่พูดไม่ดีพอให้ถามว่าจุดไหนในบ้านมีประสิทธิภาพ WIFI ดีที่สุด
ถามทีมงานที่ออฟฟิศเขาให้คำตอบเหมือนไม่ให้คำตอบ เลยต้องพึ่งพากันเอง
ในที่สุดจุดที่ WIFI มีประสิทธิภาพที่สุดคือห้องนอนผม เลยโชคดีไปที่ไม่ใช่ห้องพี่เลี้ยงของลูก หรือห้องแม่บ้าน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นละครเกิน พอตกเย็นในวันนั้น เราหาจุดในห้องนอนที่มี WIFI เสถียรภาพที่สุด และตั้งแล็ปท็อปอยู่ตรงนั้น อย่าลืมว่าเมื่อ 9 ปีที่แล้วไม่ได้เป็นยุค Streaming เป็นยุคที่เราต้องพึ่งพา WORLD WIDE WEB ต่างๆ เราจะต้องรู้จัก Website เป๊ะ ถึงจะฟังอะไรสดๆ ตอนนั้นจำได้ว่าพยายามเข้าของ อสมท ก็เข้าไม่ได้ พยายามเข้ากรมประชาสัมพันธ์ ก็ไม่มีอะไรสด จนกระทั่งถึงประมาณ 2-3 ทุ่ม ที่ข่าวในโลกโซเชียลกระหึ่ม ถึงกลับเข้าไปที่กรมประชาสัมพันธ์เพื่อฟังข่าววิทยุ
…จนได้รับข่าวที่ไม่อยากได้รับ…
ผมจำวินาทีนั้นได้ พวกเราไม่ต้องฟังอะไรต่อ ทุกอย่างเงียบ ทุกอย่างนิ่ง และส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเราจบลงไป ต่อจากวินาทีนั้นเป็นต้นไป เราจะอยู่ในโลกที่ไม่มีรัชกาลที่ 9 แล้ว พวกเราได้แต่ปลอบใจกันเอง กอดกัน แล้วเป็นที่พึ่งให้กันและกัน ให้อีกฝ่ายร้องไห้ ในขณะเดียวกันพวกเราต้องอธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมวันนี้ (วันนั้น) เป็นวันสำคัญ
ความรู้สึกของคนไทยที่อยู่ต่างแดนในช่วงวันที่สิ้นพระองค์ท่าน เป็นช่วงที่ว้าเหว่มาก เหมือนต่างคนต่างอยู่ เหมือนไม่รู้จะพึ่งพาใคร ไม่รู้จะหันมามองหน้าใคร อย่างน้อยถ้าอยู่ไทย เราอยู่บ้านเรา หันไปทางไหนก็คือคนไทย พึ่งพากัน ช่วยเหลือกัน อย่างน้อยนี่คือบ้านเรา แต่ตอนนั้นเราอยู่ที่นู่น เราทำอย่างไร?
คืนนั้นพอตั้งตัวได้ ผมโทร.หาทูตไทยประจำอาเซียน (ที่อินโดฯ มีทูต 2 ท่าน ท่านหนึ่งประจำอินโดนีเซีย อีกท่านประจำอาเซียน) ปรึกษาหารือว่าควรมีการจัดงาน หรืออย่างน้อยแสดงความอาลัยแด่พระองค์ท่าน เพื่อให้คนไทยที่อยู่อินโดฯ ไม่รู้สึกว้าเหว่ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว อย่างน้อยมีที่ไป มีที่รวมตัวกัน แสดงความโศกเศร้าเสียใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อย่างน้อยมีงานรวมตัวกัน ดีกว่าต่างคนต่างอยู่ และดีกว่าต่างคนต่างต้องรู้สึกว้าเหว่โดยลำพัง
ตอนแรกเหมือนไม่แน่ใจว่าจะจัดได้หรือไม่ เหมาะหรือไม่เหมาะ ผมเถียงบอกว่า วินาทีนี้ไม่มีคำว่าเหมาะไม่เหมาะ ความรู้สึกของคนไทยสำคัญกว่า และความรู้สึกของคนไทยที่อยู่อินโดฯ ไม่ต่างจากความรู้สึกของคนไทยที่อยู่เมืองไทย เลยตกลงว่าจะจัดสัปดาห์ถัดไปในสถานทูตไทย
ปรากฏว่า คนรวมตัวล้นสถานทูตครับ เจ้าหน้าที่หลายคนบอกว่า ตั้งแต่จัดมาไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้ และคนที่ไม่เคยร่วมงานก็ร่วมงานวันนั้น แล้วไปด้วยใจครับ วันนั้นเป็นงานที่ราบเรียบ เรียบง่าย แต่กินใจทุกคน เป็นงานที่คนไทยในอินโดฯ ต้องการ งานที่จัดในสถานทูตเป็นงานจำเป็นครับ เป็นการรวมตัวกันที่เสริมพลัง และเสริมกำลังใจซึ่งกันและกัน
ทุกวันที่ 13 ตุลาคม ใจนึงควรจะเป็นวันโศกเศร้าเสียใจจริง แต่อีกใจนึงพวกเราควรรู้สึกโชคดีและดีใจ ที่ในชีวิตพวกเราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในยุครัชกาลที่ 9.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
SEA Games แบบไทยๆ
คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ
ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?
“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”
'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?
เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า
'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน
SNAP ดีหรือไม่ดี?
ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม
Back to the Future…
กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน

