
เวลาเย็นแต่ฟ้าได้มืดสนิทลงนานแล้ว เพราะตรงกับช่วงกลางเดือนมกราคมที่ประเทศสวีเดน ผมยืนอยู่หน้าศาลาไทย พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เทศบาลรากุนดา เทศมณฑลแยมต์แลนด์ ห่างจากกรุงสตอกโฮล์ม 460 กิโลเมตร เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2550 ซึ่งตอนนั้นไม่ทราบมาก่อนว่าในช่วงฤดูหนาวพระบรมราชานุสรณ์ไม่ได้เปิดให้เข้าไปกราบสักการะ
18 ปีล่วงไป ปลายฤดูร้อน ต้นฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของ พ.ศ. 2568 หรือเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผมได้กลับมายังสถานที่เดิม ช่วงเวลานี้ แม้ 1 ทุ่มกว่า ฟ้าก็ยังสว่างเหมือนกลางวัน
อาศัยบารมีของพระศุภชัย สุภาจาโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดปิยธรรมาราม วัดตั้งอยู่ห่างจากพระบรมราชานุสรณ์ ประมาณ 7 กิโลเมตร ผมพักอยู่ที่วัดเดือนกว่า มีโอกาสได้มากราบสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศึกษาการเสด็จประพาสสวีเดนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 เมื่อ 128 ปีก่อน และที่มาที่ไปการจัดสร้างพระบรมราชานุสรณ์แห่งนี้

บุคคลสำคัญที่ทำให้มีพระบรมราชานุสรณ์ หรือที่คนไทยในสวีเดนเรียก “พระที่นั่ง” ขึ้นมาคือ “นายสมหมาย พงษ์รักไทย” นายกสมาคมเพื่อจุฬาลงกรณ์มหาราชานุสรณ์ ประเทศสวีเดน ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า “ลุงสมหมาย” ชาวไทยจากจังหวัดสงขลาที่เดินทางมาปักหลักยึดสวีเดนเป็นภูมิลำเนาตั้งแต่ พ.ศ. 2516 นอกจากริเริ่มสร้างพระที่นั่งแล้ว ลุงสมหมายยังซื้อที่ดินและบ้านโบราณมาบริจาคสร้างวัดปิยธรรมารามอีกด้วย
สำหรับเรื่องราวการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ผมจะหาโอกาสมาเล่าในคราวต่อไป วันนี้ขอกล่าวถึงการเสด็จประพาสสวีเดนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2440 โดยอิงจากหนังสือ “ย้อนยุคอดีต พระพุทธเจ้าหลวงฯ เสด็จประพาสสวีเดน” ที่ลุงสมหมายค้นคว้าและพิมพ์เผยแพร่ในวงแคบๆ เมื่อ พ.ศ. 2540 และในการตามรอยไปยังสถานที่เคยเสด็จฯ ลุงสมหมายให้ความเมตตาเป็นมัคคุเทศก์ด้วยตัวเอง

กลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2440 ภายหลังจากเสด็จประพาสเมืองเวนิสแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารคโดยมีปลายทางที่เซนต์ปีเตอร์ปีเตอร์สเบิร์ก นครหลวงของจักรวรรดิรัสเซีย ส่วนเรือพระที่นั่งมหาจักรีถอนสมอเดินทางไปเข้าร่วมขบวนเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร แล้วมีกำหนดแล่นจากทะเลเหนือเข้าสู่ทะเลบอลติก ไปเฝ้าฯ รับเสด็จที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทว่าเรือเกิดชำรุด ต้องหันหัวเรือไปซ่อมที่ฮอลแลนด์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องเสด็จฯ จากกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปยังกรุงสตอกโฮล์มโดยเรือพระที่นั่งของจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และเมื่อพระองค์เสด็จฯ ถึงกรุงสตอกโฮล์มในเช้าวันที่ 13 กรกฎาคม 2440 เรือพระที่นั่งมหาจักรีก็ได้มาทอดสมอเฝ้าฯ รับเสด็จอยู่แล้ว
ในการเสด็จประพาสสวีเดน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย

“สมเด็จพระเจ้าออสการ์ที่ 2” แห่งสหราชอาณาจักรสวีเดนและนอร์เวย์ เสด็จฯ รับราชอาคันตุกะอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เกิดเป็นภาพยนตร์ข่าวชิ้นแรกขึ้นในสวีเดนขณะพระมหากษัตริย์ของทั้งสองชาติเสด็จฯ ขึ้นจากเรือพระที่นั่ง แล้วทรงโอบกอดจุมพิตกัน

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 หลังประทับในกรุงสตอกโฮล์มได้ 3 วัน สมเด็จพระเจ้าออสการ์ที่ 2 ทรงส่งเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ เรือพระที่นั่งมหาจักรี และเรือได้แล่นออกจากกรุงสตอกโฮล์มในเวลา 23.00 น. มุ่งหน้าทางทิศเหนือ ส่วนสมเด็จพระเจ้าออสการ์ที่ 2 เองทรงมีหมายกำหนดการเสด็จประพาสนอร์เวย์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกเสด็จประพาสทางเหนือของสวีเดนตามคำแนะนำของกงสุลไทยประจำสวีเดนและนอร์เวย์ “มิสเตอร์เอกเซล ยอห์นสัน” ก่อนหน้านั้นที่ว่า
“...การเสด็จทางแม่น้ำโองเงอร์มานและแม่น้ำอินดอลซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในประเทศของเรา เป็นแม่น้ำที่งดงามที่สุดและมีน้ำตกสวยงามมากมาย อีกทั้งตามริมแม่น้ำยังมีโรงเลื่อยและการทำอุตสาหกรรมป่าไม้อันเป็นสินค้าออกที่สำคัญของกรุงสยามเช่นกัน พระเจ้าออสการ์ที่ 2 ได้เคยเสด็จประพาสสายนี้มาก่อน พระองค์ทรงแนะนำให้เสด็จประพาสเส้นทางสายนี้...”

เรือพระที่นั่งมหาจักรีใช้เวลา 18 ชั่วโมง เดินทางถึงเมืองแฮเนอร์ซานด์ในเวลา 19.00 น. ของวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 โดยทอดสมอหน้าแหลมบ้านนีลานด์ เรือกลไฟท้องถิ่นหลายลำได้บรรทุกผู้โดยสารมาชมเรือพระที่นั่งมหาจักรีมิได้ขาดสาย เสียงดนตรีดังกึกก้องทั้งคืน
วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 เรือกลไฟสะเตริมคาร์ลเลนซึ่งปกติแล้วเป็นเรือโดยสารวิ่งระหว่างเมืองแฮร์เนอซานด์และเมืองซูลเลฟติโอ ได้หยุดวิ่งเป็นการชั่วคราว เพราะได้นำมาตกแต่งประดับธงช้างเผือก ดัดแปลงเป็นเรือพระที่นั่งสำหรับเสด็จประพาสบริเวณปากแม่น้ำโองเงอร์มานซึ่งมีเกาะแก่งจำนวนมากและอ่าวต่างๆ ในแถบใกล้เคียง มีมัคคุเทศก์คอยกราบบังคมทูลเกี่ยวกับเรื่องอุตสาหกรรมป่าไม้

เวลา 11.00 น.วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ จากเรือพระที่นั่งมหาจักรีสู่เรือกลไฟสะเตริมคาร์ลเลนเพื่อเสด็จประพาสลึกเข้าไปในแม่น้ำโองเงอร์มาน เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระราชโอรสทั้งสามพระองค์ กงสุลยอห์นสัน และผู้ติดตาม ส่วนเรือพระที่นั่งมหาจักรีได้แล่นลงใต้ไปประมาณ 50 กิโลเมตร เพื่อรอรับเสด็จในตอนค่ำวันรุ่งขึ้นที่เมืองซุนด์สวาล
ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เรือสะเตริมคาร์ลเลนแล่นมาถึงเมืองซูลเลฟติโอ จากแม่น้ำโองเงอร์มาน เรือเลี้ยวซ้ายเข้าแม่น้ำซูลเลฟติโอ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสว่า “ประเทศอะไรช่างสวยงามเช่นนี้” จากนั้นเสด็จฯ เข้าสู่เมืองโดยรถม้าพระที่นั่งไปบนถนนสะตอร์กูตัน ถึงโรงแรมแอปเปิลแบร์ก โรงแรมแห่งเดียวตลอดการเสด็จประพาสสวีเดนที่ประทับค้างคืน

บ่ายวันนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชโอรสทั้งสามพระองค์ได้ทรงแอบไปฉายพระรูปที่ร้านถ่ายรูปชื่อ “โค เอ คาร์ลสะเตริม” (ปัจจุบันเป็นร้านขายเสื้อผ้า) ซึ่งตั้งอยู่ติดกับโรงแรม

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ โดยรถม้าพระที่นั่งไปยังสถานีรถไฟซูลเลฟติโอ (ปัจจุบันเป็นสถานีรถบัส) รถไฟเที่ยวพิเศษนี้ควบคุมเส้นทางโดย “มิสเตอร์ออเรฮ์น” ซึ่งไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งเป็นผู้ควบคุมเส้นทางรถไฟของสมเด็จพระเจ้าออสการ์ที่ 2 และเจ้าฟ้าชายกุสตาฟ ในการเสด็จประพาสนอร์เวย์
ขบวนรถไฟพระที่นั่งเคลื่อนเข้าจอดที่สถานีบิสพ์โกร์เดน (ปัจจุบันเลิกใช้งาน) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงแรมทูริส (เลิกกิจการไปแล้วเพราะถูกไฟไหม้) เพื่อเสวยพระกระยาหารกลางวัน จากนั้นเสด็จฯ ต่อไปยังท่าเรือเอ็ดเส็ตของแม่น้ำอินดอลโดยขบวนรถม้า ระยะทางประมาณ 11.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 30 นาที

พระยาศรีสหเทพ (เส็ง) หนึ่งในคณะตามเสด็จฯ ได้บันทึกในจดหมายเหตุว่า “...ในขณะที่เดินทางมีฝุ่นมาก ทางค่อนข้างแคบ มีความกว้างพอรถม้าวิ่งสวนทางกันได้ ป่าไม้ขึ้นหนาแน่น ผ่านท้องทุ่งโรงนาและบ้านหลายหลังที่ทำด้วยไม้ซุง พอใกล้ถึงสถานีท่าเรือมีประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น ในระหว่างทางรถม้าวิ่งผ่านดูเหมือนกับน้ำตกไทรโยคในกรุงสยาม เราเดินผ่านซุ้มที่จัดไว้อย่างสวยงาม ริมฝั่งด้านซ้ายมือเป็นทางเดินประมาณ ๕๐๐ เมตร ทั้งสองข้างทางประดับประดาด้วยธงราวอันสวยงาม จัดไว้อย่างสวยงามมากทีเดียว หมู่บ้านอุตาเนเด ถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กก็ตาม แต่ชาวบ้านเตรียมการรับเสด็จอย่างดีที่สุดที่พวกเขาสามารถทำได้ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”
เอ็ดเส็ตเป็นท่าจอดเรือในหมู่บ้านอุตาเนเด เป็นปลายแหลมเล็กๆ ระหว่างแม้น้ำอินดอลและลำห้วยควอร์โนน ด้านล่างจากท่าเรือนั้นน้ำเชี่ยวมากเพราะมีแก่ง บางช่วงของปีการเดินเรือทำได้ลำบากเพราะน้ำไหลบ่าท่วม จึงมีการสร้างสะพานเล็กๆ เลียบฝั่งยาวประมาณ 500 เมตรสำหรับจอดเรือด้านล่างของท่าเอ็ดเส็ต

เรือกลไฟชื่อลีเดนถูกใช้เป็นเรือพระที่นั่ง ต้องใช้ความชำนาญของกัปตันที่หันหัวเรือออกต้านกระแสน้ำอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ หันหัวเรือกลับตามลำน้ำ ขณะที่หัวเรืออยู่กลางลำน้ำนั้นเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังที่สุดเพราะเรืออาจถูกกระแสน้ำที่แรงจัดพัดเข้าชนฝั่งได้ ทุกคนในขบวนเสด็จต่างจดจ่อและตื่นเต้น เรือได้แล่นไปในแม่น้ำอินดอล กระแสน้ำเชี่ยวทำให้หัวเรือเบนไปทางโน้นทีทางนี้ที ซ้ำยังต้องคอยระวังหินโสโครกซึ่งมีอยู่ทุกคุ้งน้ำ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสชมว่า “ฉันขอแสดงความยินดีกับเจ้าของเรือ ที่มีเรือชนิดที่ใช้ได้เหมาะกับแก่งน้ำที่มีกระแสอันไหลเชี่ยวเช่นนี้”

เรือได้เข้าจอดที่ท่ากลีโมน์ซึ่งตั้งอยู่ตอนล่างของหมู่บ้านลีเดนในเวลา 16.20 น. สิ่งที่น่าสนใจยิ่งในการเสด็จประพาสช่วงนี้คือการส่งท่อนซุงจากยอดเขาลงสู่แม่น้ำ บริษัทเจ้าของสัมปทานป่าไม้ได้สาธิตการส่งไม้ซุงให้ไหลลงมาตามรางไม้ยาว 653 เมตรน้อมถวายให้พระองค์ทอดพระเนตร เมื่อไม้ซุงตกถึงพื้นน้ำจะมีคนงานล่องซุงคอยรวบรวมผูกเป็นแพ แต่ละแพใช้คนงานสองคน แล้วจะมีเรือมาลากแพไปส่งยังโรงเลื่อยต่อไป
ขบวนเสด็จได้เปลี่ยนเรือพระที่นั่งอีก 2 ลำเพื่อให้รับกับสภาพกระแสน้ำ เมื่อถึงอ่าวซุนด์สวาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ สู่เรือพระที่นั่งมหาจักรี

เช้าวันอังคารที่ 20 กรกฎาคม 2440 พระองค์ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรกิจการโรงเลื่อยคิวบีเกนบอร์ย ของ “มิสเตอร์เอนเฮอร์นิง” จากนั้นเสด็จฯ ทอดพระเนตรร้านขายของพื้นบ้านสวีเดน แล้วเสด็จฯ ไปเสวยพระกระยาหารกลางวันที่โรงแรมคะเนาส์ต อันเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของสวีเดนในเวลานั้น และก่อนที่จะเสด็จฯ กลับสู่เรือพระที่นั่งมหาจักรี พระองค์ได้ทรงมีพระราชโทรเลขถวายสมเด็จพระเจ้าออสการ์ที่ 2 เพื่อทรงขอบพระราชหฤทัยที่ทรงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีในการเสด็จประพาสตอนเหนือ จากนั้นบนเรือพระที่นั่งมหาจักรีพระองค์ได้พระราชทานสิ่งของตอบแทนแก่ทุกคนที่ได้ถวายการอำนวยความสะดวกในการเสด็จประพาสครั้งนี้
เวลา 17.15 น. เรือพระที่นั่งมหาจักรีได้ถอนสมอแล่นออกจากอ่าวเมืองซุนด์สวาลลงไปทางใต้ ล่องไปในทะเลบอลติก มุ่งหน้าสู่กรุงโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก

ย้อนกลับไปยังช่วงการเสด็จประพาสโดยรถม้าจากบิสพ์โกร์เดนถึงท่าเรือเอ็ดเส็ต หมู่บ้านอุตาเนเด ช่วงระยะทาง 2 กิโลเมตรก่อนถึงท่าเรือนั้นภายหลังการเสด็จของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชาวเมืองได้ตั้งชื่อถนนว่า “Kung Chulalongkorn Väg” หรือ “ถนนจุฬาลงกรณ์มหาราชา”
และที่บริเวณหัวถนนแห่งนี้ในอีก 1 ศตวรรษต่อมาก็ได้มีการจัดสร้างพระบรมราชานุสรณ์ขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระปิยมหาราช และการเสด็จประพาสสวีเดน
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในวันหนึ่งของฤดูร้อนปี พ.ศ. 2526 ลุงสมหมายขับรถพาพระสงฆ์ 2 รูปจากเมืองไทยซึ่งเป็นญาติกันเดินทางท่องเที่ยว มีปลายทางที่นอร์ธเคป ประเทศนอร์เวย์ ระหว่างเส้นทางก็ได้แวะที่ถนนจุฬาลงกรณ์มหาราชา เดินสำรวจถนนอยู่นานจนปวดปัสสาวะ ได้ไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งเพื่อจะขอเข้าห้องน้ำ
แต่พอเจ้าของบ้านเปิดประตูกลับลืมเรื่องห้องน้ำเสียเฉยๆ พูดกับเจ้าของบ้านว่า “คุณมีที่ดินเยอะแยะ ผมขอมาสักหน่อยเพื่อสร้างพระบรมราชานุสรณ์เสด็จพ่อ ร.๕ จะได้ไหม ?”
เจ้าของบ้านตอบว่า “ได้เลย”.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ท่องเที่ยว’ผุดคลินิกท่องเที่ยวชุมชน ติวเข้มผู้ประกอบการสู่เกณฑ์มาตรฐานปี69
‘กรมการท่องเที่ยว’ ผุดคลินิกท่องเที่ยวชุมชน เสริมมาตรฐานคุณภาพการให้บริการของชุมชนและโฮมสเตย์ทั่วประเทศ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว และเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นทั่วไทย
รัฐบาลคาดวันหยุดยาว คนไทยแห่เที่ยว เงินสะพัดหมื่นล้าน
รัฐบาลคาดช่วงหยุดยาว คนไทยแห่เที่ยว เงินสะพัดกว่าหมื่นล้าน เหตุอากาศเย็นสบาย-มาตรการรัฐหนุนท่องเที่ยวคึกคัก

