
แล้วก็อีกปี....
จาก ๒๕๖๘ มาถึง ๒๕๖๙ จนได้!
ตอน “๒ ยาม” ๓๑ ธันวา. ๖๘ เชื่อมต่อ ๑ มกรา. ๖๙
“ฮอตไลน์-สายด่วน” บอกเขมรเขาหน่อยนะ ว่าไทยจะจุดพลุตูมตามถวายเทวดา ในวาระ “ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่”
ฉะนั้น ไม่ต้องตกใจเป็น “หมาตื่นเสียงพลุ” ไปหรอก!
จะว่าไป ไทยนี้ดีนะ
ยามจะรบ ก็ตั้งหน้า-ตั้งตา รบ..รบ..รบ..รบเอาเป็น-เอาตาย
พอได้แผ่นดินกลับคืนเต็มกระเป๋า เขมรอยากพักรบ...
“ก็ได้ แต่มีเงื่อนไขหน่อยนะ”
เขมร: แล้วแต่พี่จะกรุณา
ไทย: แต่ถ้าผิดเงื่อนไข เจอไข่เจียว F-16 นะ!
เขมร: จ้ะพี่
เมื่อตกลงตามสัญญาครั้งที่ ๑,๐๐๐,๐๐๙ จากรบเอาเป็น-เอาตาย ทหารไทยก็เปลี่ยนโหมดเป็นทหาร “หอแต๋วแตก”
ทำเอาแฟนๆ โซเชียล ทั้งหญิง-ทั้งชาย ทั้ง LGBTQ วี้ดว้ายกระตู้วู้ ชอบอก-ชอบใจ กันยกใหญ่
อยู่ในเครื่องแบบก็กำยำ น่ากลั๊ว..น่ากลัว แต่พอนุ่งผ้าเช็ดตัวอาบน้ำ อุ๊ยยย...เสียวสยิว น่าร้ากกกอ้า!
เข้าตามสเปก “ยามศึกเรารบ-ยามสงบเราเฮฮา”
พื้นฐานคนไทยก็แบบนี้แหละ ชอบสนุกสนาน เฮฮา ขี้เล่น แต่ถึงคราวเอาจริง ต่อให้ “ท้าวพญามัจจุราช” มาขวางหน้า คนไทยก็บ่ยั่น!
วันส่งท้ายปีแบบนี้ จะคุยอะไรกันดีล่ะ คุยเรื่องรบราฆ่าฟันกัน มันก็หดหู่ ครั้นจะคุยเรื่องหาเสียงเลือกตั้ง บอกตรงๆ ตั้งแต่มีศึกเขมรนี้
ผมแทบไม่ได้แหงะหน้าดูเลยว่า พรรคไหน ใครต่อใคร เขาขับเคี่ยวกัน
เพียงแต่รู้บทสรุปในใจ ว่าเลือกตั้ง ๘ กุมภา.
“คนรักบ้าน-รักเมือง” เขาเลือก “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้กลับมาทำหน้าที่ต่อใน “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” แน่ๆ
แต่ผมนึกเคารพและชื่นชมในความเป็นหญิงใจหนักแน่นซื่อสัตย์-มั่นคงอยู่ท่านหนึ่ง คือ
“คุณตรีนุช เทียนทอง” รมว.แรงงาน “พรรคพลังประชารัฐ” ของลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ
ก็ดูซี ใคร-ต่อใครในพรรค พอเห็นท่า “พลังประชารัฐ” จะไปไม่ไหว ต่างอ้างเหตุ “ลุงป้อม” แขวนนวม
แล้วพากันโดดหนี “ทิ้งพรรค-ทิ้งลุงป้อม” ไปทีละคน-สองคน!?
“คุณตรีนุช” ซึ่งมีแต่พรรคอื่นรุมจีบ
แต่เธอหนักแน่น-มั่นคง ไม่ยอมทิ้งลุงป้อมไปไหน
ความหนักแน่น-มั่นคงของเธอนั้น ขับเน้น “ภาวะผู้นำ” ที่สัตย์ซื่อของหญิงที่ชื่อ “ตรีนุช เทียนทอง” จนผมต้องให้ความเคารพเธอ
ทั้งพรรค “พลังประชารัฐ” จะว่าไป ตอนนี้
เหลือ “คุณตรีนุช เทียนทอง” คนเดียว เป็นผู้นำที่จะสามารถชูธงพรรคให้โบกสะบัดอยู่ได้ในสนามการเมืองเลือกตั้ง
“ลุงป้อม” ดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าพรรคอย่างเดียว
ปาร์ตี้ลิสต์ก็ไม่ลง!
ส่วนคุณตรีนุช เลขาฯ พรรค เธอเป็น สส.เขตสระแก้วมาตลอด ครั้งนี้ ไปลงสมัคร สส.เขต ๒ และเบอร์ประจำตัวเธอคือ เบอร์ ๖
เขต ๒ ประกอบด้วย อำเภออรัญประเทศ, อำเภอวัฒนานคร, อำเภอโคกสูง และอำเภอตาพระยา ก็เป็นที่ตั้งของบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว นั่นแหละ
สระแก้วมี ๓ เขต พรรคพลังประชารัฐ ส่งสมัคร ๒ เขต คือ เขต ๑ และเขต ๒ ส่วนเขต ๓ เป็นของพรรคเพื่อไทย
แต่ตระกูล “เทียนทอง” ทั้ง ๓ คน!
เขต ๒ คุณตรีนุช เบอร์ ๖ อย่างที่บอก ส่วนเขต ๑ “นายบดี เทียนทอง” เบอร์ ๕ พรรคเดียวกับคุณตรีนุช
ส่วนเขต ๓ “นายสรวงศ์ เทียนทอง” พรรคเพื่อไทย เบอร์ ๑
เบอร์ประจำพรรคพลังประชารัฐ คือเบอร์ ๔๓ แฟนๆ ลุงป้อมถ้าจะเลือกปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคพลังประชารัฐ
ก็ X เบอร์ ๔๓ ลงในบัตรสีชมพู
เลือกตั้ง ๘ กุมภา.นี้ มีบัตร ๓ ใบนะครับ อย่าลืม
ใบแรก เป็นบัตร “สีเขียว” เลือก สส.เขต
ใบที่สอง เป็นบัตร “สีชมพู” เลือกพรรค
และใบที่สาม “สีเหลือง” เป็นบัตรให้ลงประชามติ
ในคำถามว่า “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”
ก็จำให้แม่นนะครับ เที่ยวนี้ มีบัตรให้กา ๓ ใบ
X เลือกคน (สส.เขต)
X เลือกพรรค (ปาร์ตี้ลิสต์)
X เห็นชอบ หรือ ไม่เห็นชอบ ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สำหรับผม ใครก็ไม่ต้องมาถามในเรื่องรัฐธรรมนูญ
ผม X ในช่อง “ไม่เห็นชอบให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” อยู่แล้วตั้งแต่ในมุ้ง!
เมื่อพลเอกประวิตร ไม่สมัครเป็น “แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค” แล้วใครล่ะ จะขึ้นชูธงแทน
ก็ “ตรีนุช เทียนทอง” นี่แหละ แคนดิเดตฯ นายกฯ คนที่ ๑
และ “ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี” แคนดิเดตฯ คนที่ ๒
ก็หยิบมาคุยให้ทราบ ด้วย “ชื่นชม-ศรัทธา” คุณตรีนุช ที่ไม่ทอดทิ้งพรรค ไม่ทอดทิ้งลุงป้อม เธอได้ใจจากผมตรงนี้ไปเลย
เดี๋ยวจะว่า พอปีใหม่แล้วลืมถ่านไฟเก่า
งั้นเป่าให้คุซะหน่อย!
๗๒ ชั่วโมง “วัดใจ” ผ่านไปแล้ว ปรากฏว่าไทย-เขมรรักษากติกาหยุดยิงได้สำเร็จ
แล้วจะยังไงต่อไป ในเมื่อ “เฒ่าฮุน” เร่งเร้าจะให้เปิดประชุมคณะกรรมการปักปันเขตแดน หรือ JBC โดยมีเงื่อนไขเป็นติ่งว่า
“เขมรจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนใดๆ ที่เกิดจากการใช้กำลัง”!
ฮั่นแน่ อ้าปาก ดากก็โผล่แทนลิ้นเลยนะเฒ่าฮุน!
ประชุมได้-ไม่ได้ ก็ฟังที่ท่าน “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รมว.ต่างประเทศ ท่านบอกก็แล้วกัน
“....ประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายกัมพูชาเหมือนพยายามเร่งรัดให้เกิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา หรือ JBC ที่เกี่ยวกับการปักปันเขตแดน
ต้องมาดูกันต่อ เพราะผลการประชุม GBC ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุม ครม.
ขณะเดียวกัน ในการประชุม JBC ก็ต้องมาดูข้อกฎหมาย ว่าในช่วง “รัฐบาลรักษาการ” จะต้องขออาณัติจากรัฐบาลหรือไม่?
เพราะเป็น “ข้อตกลง” ที่ผูกพันไปถึง “รัฐบาลใหม่”
และการประชุม JBC จะประชุมได้ช่วงไหน มันมีขั้นตอนอยู่ ไม่ใช่จะสามารถจัดประชุมได้ทันที
แต่ยืนยันว่าเราไม่ได้ประวิงเวลา....
เพียงแต่พื้นที่ “ต้องปลอดภัย” ก่อน เพราะเราต้องลงพื้นที่ร่วมกันเพื่อ “ปักปันเขตแดน”
หากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นใน ๗๒ ชั่วโมง เช่น ไม่เกิดเหตุการณ์ยั่วยุ หรือ เก็บกู้ทุ่นระเบิด เราก็เดินหน้าสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ”
ต่อคำถามที่ว่า “ฮุน เซนไม่ยอมรับเขตแดนที่ทหารไทยปักปันจะเป็นปัญหาหรือไม่?”
ท่านสีหศักดิ์กล่าวว่า “บริบทมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉะนั้นการประชุม JBC มีขึ้นเมื่อใด เราก็ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
มันมีขั้นตอนของมันอยู่ และอาจจะไปถึงรัฐบาลใหม่ จึงจะประชุมกันได้
ซึ่งเรายังไม่รู้ท่าทีรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร และจะมีการทบทวน MOU 43 หรือไม่ ก็ยังไม่มีข้อยุติ”
เหนือฟ้า ยังมีฟ้า เหนือพิษ ยังมีพิษ เหนือฮุน เซน ยังมีสีหศักดิ์ เมื่อเจอเข้าอีดอกนี้
เฒ่าฮุนไม่กระอักเป็นเลือดตานี้ ก็คงอยากท้าท่านสีหศักดิ์ขึ้นเวที One Championship ด้วยกติกามวย “กุนขแมร์” แน่ๆ
เลิกฝันไปเถอะ..เฒ่าฮุนเอ๊ย ไอ้เรื่องจะยื้อเอาดินแดนที่โกงไปและไทยยึดกลับมา นั่นน่ะ
“บริบทมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราก็ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป”
ได้ยิน “มธุรสวาจา” ของท่านสีหศักดิ์แล้วมิใช่หรือ ฉะนั้น ตื่นจากนิทราเถอะเฒ่าฮุนเอ๊ย!
ทำไมฮุน เซนจึงร้อนรนจะเอาแผ่นดินที่ไม่ใช่ของเขมรกลับไป อยากรู้ ลองอ่านนี่
Padermchai Goonpiboon
จากสีหนุ ถึง ฮุน เซน: เมื่อ “พื้นที่เล็กๆ” กลายเป็นตำนานวีรบุรุษ โดย “คัดข่าว”
ปม “หนองจาน–หนองหญ้าแก้ว” ในสายตากัมพูชา ไม่ใช่แค่แผ่นดิน แต่คือ “ชะตาการเมือง”
ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาในปลายปี ๒๕๖๘
โดยเฉพาะพื้นที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว อาจถูกมองจากฝั่งไทยว่าเป็นเพียง “จุดพิพาทเล็กๆ” หรือพื้นที่ที่ถูกบุกรุกจากบริบทผู้ลี้ภัยในอดีต
และได้รับการยึดคืนตามกรอบกฎหมายและ MOU 2000 อย่างชัดเจน
แต่ในสายตาของกัมพูชา พื้นที่เล็กๆ เหล่านี้ กลับมีน้ำหนักทางการเมืองและจิตวิทยา
หนักหน่วงยิ่งกว่าแผนที่หรือพิกัดภูมิศาสตร์ใดๆ!
เพราะมันเชื่อมโยงโดยตรงกับ “ตำนานวีรบุรุษของชาติ” ที่ฝังรากลึกตั้งแต่ยุค “สมเด็จพระนโรดม สีหนุ”
สีหนุ: วีรบุรุษผู้ “เอาแผ่นดินกลับคืน” แม้จะเล็กเพียงใด
สำหรับคนกัมพูชา สมเด็จสีหนุ ไม่ได้ถูกจดจำในฐานะนักการเมืองธรรมดา
แต่คือ “ผู้กอบกู้อธิปไตย” ผู้พาประเทศพ้นจากอิทธิพลต่างชาติ และที่สำคัญที่สุด คือ
ผู้ที่นำ “ปราสาทพระวิหาร” กลับคืนสู่กัมพูชา ผ่านคำตัดสินศาลโลกในปี 1962
ในเชิงพื้นที่ พระวิหารเป็นเพียงปราสาทบนหน้าผา
แต่ในเชิงสัญลักษณ์ มันคือหลักฐานว่า
“กัมพูชา สามารถทวงคืน สิ่งที่สูญเสียไปให้มหาอำนาจและเพื่อนบ้านได้”
ชัยชนะนั้นกลายเป็นแม่แบบทางความคิดของสังคมกัมพูชาว่า “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ คือ ผู้นำที่ไม่ยอมเสียแม้แต่ตารางเมตรเดียว”
ฮุน เซน: ผู้สืบทอดตำนานและเดิมพันด้วยชายแดนไทย
เมื่อฮุน เซน ก้าวขึ้นมา เขาไม่ได้สร้างความชอบธรรมผ่านสายเลือดหรืออุดมการณ์
หากแต่ผ่าน เสถียรภาพ + ชาตินิยม และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ คือ “ประเด็นชายแดนกับไทย”
กรณีพระวิหารปี 2008–2011 ไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาทระหว่างรัฐ แต่เป็นเวทีที่ฮุน เซนใช้สร้างภาพตนเอง
ในฐานะผู้นำที่ยืนหยัดต่อหน้าไทยและไม่ยอมอ่อนข้อเรื่องดินแดน
การปลุกกระแสว่า “ไทยรุกราน” หรือ “ไทยยึดแผ่นดินเขมร” ถูกทำซ้ำผ่านการศึกษา สื่อ และวาทกรรมรัฐ มานานกว่าสองทศวรรษ
จนทำให้ความเชื่อของสังคมกัมพูชา แยกขาดจากข้อเท็จจริงทางกฎหมายไปแล้ว
หนองจาน–หนองหญ้าแก้ว: ไม่ใช่ของกัมพูชา ไม่ว่าจะแยกกฎหมายซึ่งเขตแดนหรือนานาชาติ แต่ “มันถูกเชื่อว่า ใช่”
ในกรณีบ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว ข้อเท็จจริงตามสนธิสัญญาและ MOU ชายแดนชี้ชัดว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ฝั่งไทย
แต่สำหรับคนกัมพูชาจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยมาตั้งแต่ยุค “ค่ายผู้ลี้ภัย” หลังสงครามกลางเมือง
ที่นี่คือ บ้าน คือ แผ่นดินเกิด และคือ สิ่งที่รัฐบอกว่าเป็นของกัมพูชา
ฮุน เซนและกลไกรัฐรู้ดีว่า พื้นที่นี้ “อ้างในศาลโลกยาก”
แต่เขาก็รู้เช่นกันว่า การยอมรับการสูญเสีย เท่ากับการยอมรับว่า เขาคือ “ผู้นำที่ทำให้กัมพูชาเสียดินแดนอีกครั้ง”
ซึ่งในสังคมกัมพูชา นั่นไม่ใช่ความผิดพลาดธรรมดา แต่มันคือ “บาปทางการเมือง” ที่อาจล้มผู้นำได้
ฮุน มาเนต: ผู้รับมรดกความเชื่อ และกับดักที่หลีกไม่พ้น
เมื่ออำนาจส่งต่อมาสู่ฮุน มาเนต ปัญหานี้ ยิ่งหนักขึ้น
เพราะเขาไม่ได้มีบารมีแบบสีหนุ และยังไม่สร้างตำนานของตนเอง สิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือ
ไม่ทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยคำว่า ‘กัมพูชาแพ้’
ดังนั้น การอ้างสิทธิ์พื้นที่ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ของตน การใช้หยุดยิงเป็นช่องทางเปิดประเด็น “การกลับคืนถิ่นของประชาชน”
หรือแม้แต่การขู่ใช้กลไกระหว่างประเทศ ล้วนเป็นความพยายาม “รักษาหน้า” มากกว่าการชนะจริง
เพราะในโลกความจริง ฮุน มาเนต อาจยอมแพ้ได้
แต่ในโลกความเชื่อของประชาชนกัมพูชา เขาไม่มีสิทธิ์แพ้
ซึ่งตรงนี้แหละ เพราะเมื่อถึงเวลาประกาศหยุดยิง ๗๒ ชั่วโมง คนที่อยู่พื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถกลับบ้านตัวเองได้ เนื่องจากไทยได้เข้าสถาปนาพื้นที่เรียบร้อยแล้ว….
นี่คือ “ระเบิดเวลาชาตินิยม” ของแท้ ที่เขมรจุดขึ้นเองและ “ฮุน มาเนต” ต้องรับกรรม
บทสรุป: ชายแดนเล็กๆ กับแรงระเบิดทางการเมืองมหาศาล
หนองจาน–หนองหญ้าแก้ว อาจเป็นพื้นที่เล็กบนแผนที่
แต่ในสายตากัมพูชา มันคือ สนามพิสูจน์ว่า ผู้นำจะถูกจารึกเป็น “วีรบุรุษแบบสีหนุ” หรือถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้ทำให้เสียดินแดน”
และตราบใดที่ความเชื่อแบบนั้นยังฝังราก ข้อเท็จจริงทางกฎหมายก็อาจแพ้พลังของชาตินิยม
แม้จะหยุดยิงได้ชั่วคราว แต่ยังยากจะจบลงอย่างแท้จริงในระยะยาว
และผลมันจะมาใกล้ๆ นี้ เมื่อชาวบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว กับสิ่งที่เขาเชื่อว่า “เป็นบ้านตัวเอง” แต่กลับไม่ได้…...คือ เสียดินแดน
.................................
หรือนี่คือ “เส้นทางสู่จุดจบของ “ตระกูลฮุน”!?
-เปลว สีเงิน
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดูท่า 'ยก ๓' จะมาเร็ว
ใกล้วันปีใหม่..... กรุงเทพฯ "ยัดทะนาน" ด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปักหมุดมาเคาต์ดาวน์ “บางกอก”
กกต.ชี้ผู้สมัคร พรรคส้ม ถูกจับยังไม่เข้าลักษณะต้องห้าม
กกต.กทม. แจงผู้สมัคร ส.ส. เขต 33 ปชน. ถูกจับข้อหาฟอกเงิน–ยาเสพติด ยังไม่เข้าลักษณะต้องห้าม หากศาลยังไม่ตัดสินเด็ดขาด พร้อมย้ำการเปลี่ยนผู้สมัครทำได้เฉพาะกรณีลาออก ตาย หรือมีคำพิ
‘หยุดยิง’ ไม่ใช่ ‘หยุดรบ’
ช่วงนี้ เป็นช่วง “พักรบ” ยังไม่ใช่ช่วง “จบศึก” ระหว่างไทย-เขมร หรอก! มวย One Championship เขามี ๓ ยก ศึก “ไทย-เขมร” นี่เหมือนกัน เกจิทางยุทธการบอก น่าจะมี “ยกที่ ๓” แต่ตอนไหน...ไม่รู้
🛑LIVE ‘ซินแสภาณุวัฒน์’ ไขรหัสดวงเมือง’69 ‘ทักษิณ’ ไม่สิ้นกรรม ‘อนุทิน’ นายกฯ 2 สมัย | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
‘ซินแสภาณุวัฒน์’ ไขรหัสดวงเมือง’69 ‘ทักษิณ’ ไม่สิ้นกรรม ‘อนุทิน’ นายกฯ 2 สมัย อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2568
'ยึดคืน' แล้ว 'พักยก'
โปรดทราบ.... ประชุม GBC ไทย-เขมร ได้ข้อตกลง “หยุดยิง” แล้ว! “การหยุดยิง” จะเกิดขึ้นวันนี้ (๒๗ ธ.ค.๖๘)

