
รถไฟฯ-สกพอ.ถกปมรถไฟเชื่อมสามสนามบิน เคาะขยายเวลาต่ออีก 3 เดือน หลังส่งมอบที่ดินให้เอกชนยังไม่ได้ข้อยุติ ด้าน รฟท.ส่งหนังสือถึงอัยการสูงสุดตีความ สรุปประเด็นเงื่อนไขต่างๆคาดเริ่มงานต้องปรับไทม์ไลน์ใหม่
25 เม.ย. 2565 – นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) จากที่รฟท.ได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ในฐานะคู่สัญญาผู้รับสัมปทาน เพื่อแก้ปัญหาผลกระทบ จากโควิด-19 มีกรอบเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ 24 ตุลาคม 2564 ซึ่งก่อนหน้านี้มีการขยายออกไปแล้ว 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 24 เม.ย. 2565 นั้น จึงมีความจำเป็นต้องขยายต่อสัญญาออกไปอีก 3 เดือน หรือถึงวันที่ 24 ก.ค.2565 โดยรฟท. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ).และ บริษัท เอเชียเอราวันฯได้ตกลงร่วมกันแล้ว และจะรายงานความคืบหน้าการเจรจารวมถึงการต่อ MOU อีก3 เดือนต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบต่อไป
อย่างไรก็ตามขณะนี้เรื่องการส่งมอบพื้นที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ทางเอกชน ยังไม่ยอมรับการออกหนังสือเริ่มงาน (NTP : Notice to Proceed) ในเดือน พ.ค. 2565 โดยการส่งมอบที่ดินมักกะสัน ยังมีปัญหาบริเวณบึงเสือดำและลำรางสาธารณะ และถือว่าการส่งมอบพื้นที่ไม่ครบถ้วนตาม ดังนั้นหากขยาย MOU ออกไปอีก 3 เดือน จะทำให้ระยะเวลาการชำระคืนค่าก่อสร้างต้องเลื่อนไปจากเดิมด้วย รวมถึงจะต้องไม่กระทบกรอบในเรื่องการก่อสร้างโครงสร้างร่วมในพื้นที่ทับซ้อน ที่ครม.ไม่ต้องการให้เพิ่มภาระงบประมาณ ซึ่งรฟท.จะหารือกับ สกพอ. ถึงการดำเนินการและการเจรจาที่ผ่านมา เพื่อประเมินผลว่าต้องมีการปรับปรุงอย่างไรเพื่อเพิ่มความรอบคอบอีกหรือไม่ รวมถึง ร่วมกันวางแผนต่อจากนี้ เป็นการดำเนินการคู่ขนานในระหว่างรอผลการหารือ อัยการสูงสุดและกฤษฎีกาสรุปผลออกมา
ทั้งนี้ รฟท. ได้ทำหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือถึงประเด็นต่างๆ ที่ได้มีการเจรจากับคู่สัญญาว่าเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาและถูกต้องตามระเบียบข้อกฎหมายหรือไม่อีกด้วย เพื่อให้เกิดความละเอียดรอบคอบ รัดกุม โดย รฟท. ยืนยันว่า การดำเนินการต่างๆ นี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุด รฟท. มิได้เพิกเฉยต่อการบริหารงบประมาณ หรือข้อตกลงต่างๆ ที่ต้องเจรจากับเอกชนคู่สัญญา และพยายามดำเนินการในกระบวนการต่างๆ อย่างรอบคอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้าน สกพอ. ที่ผ่านมาก็พยายามกำกับดูแลให้โครงการสามารถขับเคลื่อนได้โดยเร็ว
รายงานข่าวแจ้งว่าปัญหาส่งมอบพื้นที่บริเวณบึงเสือดำ เป็นพื้นที่ช่วยระบายน้ำเป็นแก้มลิงของกรุงเทพมหานคร(กทม.)ปัจจุบันพื้นที่มีสภาพแห้ง ไม่มีน้ำแต่อย่างใด โดย รฟท.ได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รับน้ำใหม่ให้กทม.แล้ว ดังนั้น จุดนี้จึงไม่เป็นปัญหาในการส่งมอบ ส่วนลำรางสาธารณะ ซึ่งรฟท.เห็นว่าไม่มีข้อสัญญาใดที่ระบุว่า รฟท.ต้องเพิกถอนลำรางสาธารณะ แต่ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาได้ ประสานกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อปลดออกจากสถานะลำรางสาธารณะแล้ว โดยตามขั้นตอนคาดว่าใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี แต่เอกชนไม่ยอมรับ
รายงานข่าวจาก สกพอ. แจ้งว่าจากกรณีการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยระบุว่าภาครัฐเสียเปรียบเอกชนคู่สัญญาในหลายประเด็นด้วยกัน ส่งผลให้ สกพอ. ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลโครงการ และ รฟท. ในฐานะเจ้าของโครงการ ย้ำว่าการโอนและชำระค่าบริหารแอร์พอร์ต เรลลิงก์ (ARL)จากกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และรุนแรง ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นภายหลังการลงนามสัญญาโครงการฯ ส่งผลให้รัฐต้องออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้ผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ARL ลดลง จากเดิม 80,000 คนต่อวัน เหลือประมาณ 30,000 คนต่อวัน
ทั้งนี้ส่งผลให้เกิดการขาดทุนค่าดำเนินการประมาณ 68 ล้านบาทต่อเดือน โดยยังคงไม่มีแนวโน้มว่าผู้โดยสารจะกลับมาใช้บริการเช่นเดิม จากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้สถาบันการเงินไม่สามารถให้เงินทุนกว่า 10,000 ล้านบาทแก่เอกชนคู่สัญญาเพื่อชำระค่าสิทธิให้ รฟท. ได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน เพื่อไม่ให้บริการของ ARL สะดุดหรือหยุดลง รฟท. และเอกชนคู่สัญญาตกลงกันให้เอกชนคู่สัญญาสนับสนุนการเดินรถ ARL เท่านั้น ไม่ได้ให้สิทธิบริหารจัดการและไม่ได้เป็นการส่งมอบ ARL ให้เอกชนคู่สัญญาแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามปัจจุบันรายได้จากค่าโดยสารยังเป็นของ รฟท. และเอกชนคู่สัญญาจะทยอยชำระค่าสิทธิให้รัฐไม่น้อยกว่า 1,067 ล้านบาทต่อปี เมื่อมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและผลกระทบต่อการดำเนินงานของเอกชนคู่สัญญาสิ้นสุดลง รฟท. ก็จะได้รับชำระเงินค่าสิทธิ ARL ทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะส่งผลดีต่อผู้โดยสารที่ใช้บริการ ARL ได้อย่างต่อเนื่อง และ รฟท. ไม่ต้องแบกภาระการขาดทุนของ ARL ทั้งยังได้รับค่าสิทธิ ARL ครบจำนวนอีกด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่ากรณีการแก้ไขปัญหาทับซ้อนกับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง รฟท. ได้เจรจาให้เอกชนคู่สัญญา เริ่มก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงบางซื่อถึงดอนเมือง ก่อนกำหนดในสัญญา นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มงานก่อสร้างทางวิ่งรถไฟไทย-จีน เพิ่มความเร็วการเดินรถไฟและเปลี่ยนมาตรฐานการออกแบบและก่อสร้างจากยุโรปเป็นจีน ส่งผลให้เอกชนคู่สัญญามีงานและค่าก่อสร้างเพิ่มจากสัญญาเดิม 9,207 ล้านบาท ซึ่งเอกชนต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าก่อสร้างดังกล่าว โดยรัฐไม่ต้องเสียงบประมาณในส่วนนี้
ทั้งนี้ รฟท. จึงชดเชยงานและค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นของเอกชนคู่สัญญา ด้วยการปรับวิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน จากเดิมที่รัฐเริ่มชำระหลังงานก่อสร้างทั้งโครงการแล้วเสร็จ เป็นทยอยชำระระหว่างการก่อสร้างและให้เอกชนคู่สัญญาวางหลักประกันสัญญาเพิ่ม ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวทำให้ความเสี่ยงการกู้เงินของเอกชนคู่สัญญาลดลง ส่งผลให้เอกชนคู่สัญญาประหยัดค่าดอกเบี้ยลงซึ่งจะถูกส่งคืนกลับสู่รัฐทั้งหมด ทำให้รัฐประหยัดงบประมาณไม่น้อยกว่า 17,000 ล้านบาท จากการชำระเงินร่วมลงทุนที่น้อยลงและไม่ต้องจ่ายค่างานก่อสร้างส่วนที่เพิ่มขึ้นมา 9,207 ล้านบาท ที่สำคัญการแก้ปัญหาทับซ้อนช่วงบางซื่อ – ดอนเมือง จะช่วยให้ทั้ง 2 โครงการสามารถเดินหน้าก่อสร้างและเปิดให้บริการได้ตามกำหนด ประชาชนได้ประโยชน์จากบริการสาธารณะ และช่วยให้รัฐสามารถบริหารงบประมาณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ซีพี เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ช่วยชาติยามวิกฤต “สุภกิต เจียรวนนท์” ประธานกรรมการ นำทัพซีพีอาสาลงพื้นที่หาดใหญ่ มอบถุงกำลังใจผ่านกองทัพเรือ พร้อมเดินหน้า ‘ฟื้นคน-ฟื้นชุมชน-ฟื้นเศรษฐกิจ’ หลังน้ำท่วมใต้
เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เดินหน้าภารกิจช่วยเหลือและฟื้นฟูภาคใต้ต่อเนื่อง ภายใต้นโยบายของ “3 ประธาน” - นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร - ที่ย้ำชัดว่าในยามที่ประเทศเผชิญภัยพิบัติ ซีพีจะต้องเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของสังคมไทย โดยใช้ศักยภาพขององค์กรสนับสนุนภาครัฐและชุมชนให้ยืนหยัดได้โดยเร็วที่สุด
ซีพีอาสา หนุนโรงครัวกว่า 55 จุด ส่งอาหารปรุงสุก-ถุงยังชีพ เร่งคลายวิกฤตปากท้อง ช่วยผู้ประสบภัยใต้หลังน้ำลด
เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี โดย “ซีพีอาสา” ผนึกกำลังทุกบริษัทในเครือเดินหน้าภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังน้ำลด ซึ่งประชาชนจำนวนมากเพิ่งออกจากบ้านหลังถูกตัดขาดหลายวัน ทำให้ขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ซีพีอาสาจึงเร่งระดมกำลังสนับสนุนวัตถุดิบ อาหารปรุงสุก และถุงยังชีพ เพื่อคลายความหิวและบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน
ไม่เกินคาด! กมธ.ศึกษายกเลิก MOU43-44 จ่อขยายเวลาเพิ่ม 30 วัน
'กมธ.ศึกษา ยกเลิก MOU43-44' จ่อ ขยายเวลาเพิ่ม 30 วัน เหตุพิจารณาไม่ทัน 'สฤษฏ์พงษ์' เผยที่ประชุมยังเห็นต่าง หนุน 'รัฐบาล' จัดเวทีดีเบต ให้ความรู้ประชาชน ย้ำอำนาจยกเลิกอยู่ที่ ครม.
'เครือซีพี'ทุ่ม100ล้าน หนุนไทยจัดซีเกมส์-อาเซียนพาราฯ2025 รวม7กลุ่มสร้างSoft Powerกีฬา
เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี พร้อมบริษัทในเครือ ได้แก่ ซีพีเอฟ, ซีพี ออลล์, ซีพี แอ็กซ์ตร้า, ทรู คอร์ปอเรชั่น, ทรูวิชั่นส์, ทรูมันนี่ และอเมซ (Amaze Super App) ประกาศทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท สนับสนุนการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในการจัดการแข่งขัน ซีเกมส์ และอาเซียนพาราเกมส์ 2025 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ตอกย้ำบทบาทของภาคเอกชนไทยที่มีนโยบายสนับสนุนด้านการกีฬามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในโอกาสนี้ได้รวมพลังจาก 7 กลุ่มธุรกิจในเครือ จัดงาน “ซีพี ร้อยเรียงใจ พาไทยคว้าชัย ซีเกมส์ และอาเซียนพาราเกมส์ 2025”
ส.หมากล้อมฯ-ซีพี3บริษัท จัดลุยไถ2025 เชื่อมสัมพันธ์นักหมากล้อม ชิงรางวัลรวมกว่า6.5แสนบาท
สมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (ซีพีเอฟ), บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด (พีซีจี) และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) จัดพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาหมากล้อม “ศึกลุยไถ 2025” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนฝีมือและประสบการณ์ รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักหมากล้อมจากทั้ง 3 บริษัท ชิงถ้วยเกียรติยศและเงินรางวัลรวมกว่า 650,000 บาท
ซีพีทั่วโลกพร้อมใจถวายคำปฏิญาณ ยึดมั่นจงรักภักดีชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย 2568
เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซีพี จัดพิธีครั้งยิ่งใหญ่ เนื่องใน วันพระราชทานธงชาติไทย ประจำปี 2568 โดยมีคณะผู้บริหารและพนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจในเครือจากทั่วทุกมุมโลก ร่วมประกาศคำปฏิญาณแสดงความจงรักภักดี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ผู้ทรงพระราชทาน “ธงไตรรงค์” อันเป็น สัญลักษณ์สูงสุดแห่งเอกราชและความสามัคคีของชาติไทย


