หอการค้าหั่นจีดีพีเหลือ 3.1% ห่วงสงคราม-ดอกเบี้ยขาขึ้นถ่วง

‘หอการค้า’ หั่นจีดีพีไทยปี 2565 เหลือ 3.1% เซ่นพิษราคาพลังงานโลกทะยานไม่หยุด ห่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาโควิดยืดเยื้อและแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ถ่วงเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

17 มิ.ย. 2565 -นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือ 3.1% จากเดิม 4.2% จากผลกระทบราคาพลังงานโลกที่สูงขึ้น พร้อมคาดการณ์แนวโน้มการส่งออกปีนี้โต 6.3% จากเดิม 5.4% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เพิ่มขึ้นเป็น 6.0% จากเดิม 1.5%

ทั้งนี้ การปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยลง มาจากสมมติฐานสำคัญ คือ 1. ปริมาณการค้าโลก ลดลงมาอยู่ที่ 4% ส่วนจีดีพีโลก ลดลงเหลือ 2.9% 2. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 6.1 ล้านคน 3. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 34.25 บาท/ดอลลาร์ 4. ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยทั้งปีที่ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล 5. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี ที่ระดับ 0.50-1.00%

‘การปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลทุก 1 บาท/ลิตร มีผลกระทบต่อจีดีพี -0.2% และการขึ้นราคาเบนซินทุก 1 บาท/ลิตร มีผลกระทบต่อจีดีพี -0.1% ซึ่งหากขึ้นราคาทั้งดีเซลและเบนซิน รวมกันจะมีผลต่อจีดีพี -0.3% ต่อปี โดยทิศทางเศรษฐกิจโลก โดนผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง มาตั้งแต่เดือนม.ค. ที่ขึ้นมาประมาณ 10 บาท/ลิตร ทำให้เราต้องย่อเศรษฐกิจลงทันที ประมาณ 1% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4.2% มาเหลือ 3.1%’ นายธนวรรธน์ กล่าว

นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจัยลบในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ได้แก่ 1.สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ และเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น 2. การแพร่ระบาดของโควิดที่ยืดเยื้อทำให้เกิดแผลเป็นทางเศรษฐกิจ 3.ธนาคารกลางของประเทศหลักถูกกดดันให้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 4.ปัญหาชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานกระทบการผลิตทั่วโลก 5.เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนจากมาตรการซีโร่ โควิด 6.ความไม่แน่นอนระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

ขณะที่ปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจไทย ได้แก่ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเป็นไปตามเป้าหมาย การผ่อนคลายมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ภาคเอกชนในประเทศเริ่มกลับมาใช้จ่ายอีกครั้ง ส่วนภาครัฐมีการออกมาตรการเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้ง/ฝนทิ้งช่วงในปีนี้มีแนวโน้มลดลง