'จุลพันธ์' ยัน Digital Wallet ไม่มีดึงเงินออมสินอุ้ม

‘จุลพันธ์’ ยันเสียงแข็ง Digital Wallet ไม่มีแนวคิดดึงเงินจากธนาคารออมสินมาอุ้ม ยืนยันทำไม่ได้และรัฐบาลไม่มีแนวคิดอยู่แล้ว ขอรอฟังความชัดเจนเรื่องแหล่งเงินทั้งหมดในวันที่ 10 เม.ย. 2567 พร้อมเบรกแผนออกบอนด์รูปเงินตราต่างประเทศ ชี้ดอกเบี้ยโลกอยู่ช่วงขาลง ยังไม่ใช่จังหวะเหมาะสม

1 เม.ย. 2567 – นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ว่า ยืนยันว่าโครงการ Digital Wallet ไม่มีแนวคิดในการดึงเงินจากธนาคารออมสินเข้ามาใช้ดำเนินการ เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ และรัฐบาลไม่ได้คิดจะทำอยู่แล้ว ไม่เกี่ยว และไม่มีทาง รวมถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลจะต้องมีการปรับกรอบงบประมาณปี 2568 และ 2569 เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวหรือไม่นั้น อยากให้รอความชัดเจนในการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ชุดใหญ่ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เป็นประธาน ในวันที่ 10 เม.ย. นี้ ซึ่งจะมีการสรุปรายละเอียดเกี่ยกกับแหล่งเงินที่จะใช้ในโครงการทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ข้อเสนอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว

“ที่มีการพูดว่ารัฐบาลจะเอาเงินออมสินมาใช้ ถ้าใครอยากพูดก็ปล่อยให้เขาพูดไป ถ้าใครพูดผิดก็ปล่อยให้เขารับผิดชอบกันเอาเอง ผมคงไปรับผิดชอบให้ไม่ได้ แต่ยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดจะเป็นไปตามกรอบของกฎหมายแน่นอน รัฐบาลตัดในหลายประเด็นไปเกือบหมดแล้ว ส่วนเรื่องกู้หรือไม่นั้น ก็อยากให้รอวันที่ 10 เม.ย. เช่นเดียวกัน ขณะที่ภาพรวมหนี้สาธารณะหลังดำเนินโครงการก็ยังเป็นไปตามกรอบแน่นอน ตอนนี้บางอย่างตอบไม่ได้ ไม่อยากไปพูดก่อนที่ที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่จะมีมติออกมา จึงอยากให้รอก่อน” นายจุลพันธ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี ในส่วนของความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการออกพันธบัตร (บอนด์) ในรูปเงินตราต่างประเทศนั้น ขณะนี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กำลังศึกษา ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่ปัจจุบันมองว่าอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะทำ ยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก โดยเฉพาะกรณีที่คาดการณ์กันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาลงนั้น แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่มองว่าทิศทางดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว หลังจากที่อัตรามีการขยับขึ้นไปเกือบ 2% ดังนั้นการออกพันธบัตรในรูปเงินตราต่างประเทศตอนนี้จึงยังไม่เหมาะสม