
หลังจากที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ที่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 โดยปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย เพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจการดำเนินกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) พร้อมทั้งปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจของคณะกรรมการ กทท.ให้มีความเหมาะสม เป็นการปรับปรุงเพื่อให้การท่าเรือฯ มีความคล่องตัวในการบริหารงาน การพัฒนากิจการ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการท่าเรือฯ และภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ
3 ก.พ. 2568 – สำหรับ การพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลนั้น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม คาดภายใน 6 เดือนจะมีความชัดเจนว่าพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพจะมีการพัฒนาเชิงพาณิชย์อย่างไร แบ่งโซนพื้นที่อย่างไร รวมถึงการพัฒนาเป็น Smart Port และ Smart Community และพัฒนาเป็นท่าเรือท่องเที่ยว Cruise Terminal เพื่อส่งเสริมและเชื่อมโยงกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย
โดย พ.ร.บ.การท่าเรือแห่งประเทศไทยฉบับใหม่นั้น จะทำให้ กทท.สามารถดำเนินการกิจการต่างๆ ภายใต้ขอบเขตวัตถุประสงค์ของ กทท.ได้ ที่สำคัญ กทท.สามารถจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ทั้งในและนอกราชอาณาจักร เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องในกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งพัฒนาท่าเรือในประเทศไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ
“การจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อต้องการให้มีการบริหารจัดการแบบเจาะจง โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีศักยภาพระดับสากล ซึ่งการพัฒนาท่าเรือทั้งสองแห่ง ดังกล่าวจะนำมาซึ่งการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GPD) รวมถึงสร้างโอกาสให้ประชาชนได้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย” นายสุริยะ กล่าว

จับมือ “เมืองโยโกฮามา” ดึงโมเดลพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ
ล่าสุด กทท.ได้ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่าง กทท. และเมืองโยโกฮามา (Letter of Intent: LOI) ฉบับใหม่ พร้อมประชุมร่วมกับบริษัท Yokohama-Cargo-Center (YCC) เพื่อยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านการพัฒนากิจการท่าเรือ โครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่หลังท่า ส่งเสริมการตลาด เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ชุมชนของทั้งสองท่าเรือ รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างกัน โดย เมืองโยโกฮามา จะสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมศึกษา โครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ และการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มุ่งพัฒนาท่าเรือสีเขียว ส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยีให้มีความพร้อมกับยุคของการเปลี่ยนผ่านและการแข่งขันในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการท่าเรือฯ ได้มีการลงนาม MOU แล้ว 4 ท่าเรือที่สำคัญ ได้แก่ ท่าเรือโยโกฮามา ท่าเรือโอซากา ท่าเรือฮากาตะ และท่าเรือคิตะคิวชู สำหรับ ท่าเรือโยโกฮามา ถือเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นท่าเรือเบอร์หนึ่งด้านการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น มีเรืออยู่ 171 ลำ และมีการขนส่งตู้สินค้าอยู่ที่ 3 ล้านตู้ รองจากท่าเรือโตเกียว อยู่ที่ 4.6 ล้านตู้ ถ้าคิดเป็นการขนส่งสินค้า ท่าเรือโยโกฮามาจะอยู่อันดับที่ 68 ของโลก ท่าเรือโตเกียวจะอยู่อันดับที่ 46 ของโลก แต่ถ้านับหมดทั้งประเทศญี่ปุ่น มีการขนส่งสินค้าทั้งหมด 22 ล้านตู้ ส่วนของประเทศไทย ท่าเรือแหลมฉบังของเราท่าเรือเดียวอยู่ที่ 9 ล้านตู้

รองรับขนส่งสินค้าควบคู่กับพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์
ด้าน นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า การพัฒนาในด้านต่างๆ ของท่าเรือโยโกฮามามีแนวทางการพัฒนาและกำหนดนโยบายเช่นเดียวกับกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้นการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านจราจร ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวสู่ Smart & Green Port รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการเดินทางมาศึกษาดูงานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการท่าเรือฯ ในการแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาท่าเรือ และสามารถนำมาปรับใช้กับการพัฒนาท่าเรือ รวมทั้งต่อยอดในโครงการต่างๆ หลายประเด็น ได้แก่
1.การพัฒนาท่าเรือให้เป็นเมืองท่าและศูนย์กระจายสินค้า การพัฒนาศูนย์โลจิสติกส์ของท่าเรือโยโกฮามาเป็นหนึ่งในต้นแบบสำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ การขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพ ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจและเกิดการสร้างงาน ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของท่าเรือกรุงเทพให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาค
2.การพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่หลังท่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน การพัฒนาพื้นที่หลังท่าของเมืองโยโกฮามา โดยเฉพาะการพัฒนาทางยกระดับ ถือเป็นแนวทางในการต่อยอด โครงการพัฒนาทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) เพื่อเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพกับทางพิเศษ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ลดปัญหาจราจรติดขัดรอบพื้นที่ท่าเรือ รองรับการขยายตัวของโครงการ Smart Community และ Smart City รวมทั้งเพิ่มมูลค่าที่ดินของการท่าเรือฯ และ 3.การพัฒนาระบบการให้บริการโลจิสติกส์เพื่อลดปัญหาการจราจร โดยพัฒนาพื้นที่จุดพักรถบรรทุก ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการจราจร
“โยโกฮามาถือเป็นเบอร์ 1 ของการท่องเที่ยว เบอร์ 2 ในการขนส่งตู้สินค้า ซึ่งหลักๆ คือ 2 เรื่องนี้ และสิ่งที่เราจะได้ประโยชน์คือ การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนเรื่องบุคลากร การแลกเปลี่ยนด้านเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องกรีนพอร์ต เรื่องการใช้เทคโนโลยีและไอทีต่างๆ เข้ามาช่วยในการทำงาน และสิ่งที่สำคัญคือเรื่องการขนส่งและการพัฒนาพื้นที่ จะเห็นชัดเลยว่าการพัฒนาพื้นที่เป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ความแตกต่างกันระหว่างของไทยและญี่ปุ่นคือ การท่าเรือเป็นเจ้าของที่ดินเอง 2,313 ไร่ เป็นโฉนดที่ดิน 408 แปลง ฉะนั้นการท่าเรือฯ เล็กกว่าโยโกฮามา 8 เท่า” นายเกรียงไกร กล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า จุดเด่นของโยโกฮามาคือ การกันโซนนิ่งไว้ทำให้มีความชัดเจนว่าเป็นโซนท่าเรือ โซนเรสซิเดนซ์ โซนอุตสาหกรรม และโซนที่จะมีการลงทุนใหม่ ทำให้ปัญหาเรื่องชุมชนไม่เกิด และลักษณะของการขยายคือ การถมทะเล ทำให้ท่าเรือเกิดใหม่ คือ การถมทะเลเข้าไปเพื่อสร้างท่าเรือใหม่ นอกจากนี้ศักยภาพในปริมาณการขนส่งทำได้ใหญ่ขึ้น เพราะว่าท่าที่มีอยู่ และกําลังอยู่ระหว่างถมที่ดินเพิ่มขึ้นเพื่อทำเป็นท่าที่เทียบเรือใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถ และมีการแบ่งโซนนิ่งที่ชัดเจนและพัฒนาพื้นที่ในเชิงที่มีศักยภาพ

จัดโซนรับ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ท่าเรือกรุงเทพ ใช้พื้นที่เต็มทั้งหมด โดยในส่วนของท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือฝั่งตะวันออก เป็นท่าเทียบเรือเหมือนเดิม ส่วนฝั่งตะวันตกที่เป็นพื้นที่ใหญ่มาก เดิมมีเรื่องของคลังสินค้าเกิดขึ้นค่อนข้างเยอะ คลังสินค้ากับการวางตู้สินค้า ความเป็นระเบียบและประสิทธิภาพอาจไม่สมบูรณ์ ซึ่งต้องทำยังไงให้สามารถใช้พื้นที่ในการเก็บสินค้าน้อยที่สุด แล้วเอาพื้นที่ที่เหลือไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ จึงเป็นที่มาว่าต้องทำมาสเตอร์แพลน และมีอนุกรรมการ 4 ชุดที่จะมาพิจารณาแผนดังกล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวย้ำว่า การที่ท่าเรือจะพัฒนาดังกล่าวได้จะต้องแก้ไขเรื่องของ พ.ร.บ. ซึ่งปัจจุบันท่าเรือตั้งบริษัทลูกได้ ถือหุ้นได้ แต่ต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรือโดยตรง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พ.ร.บ.ถูกออกแบบมากว่า 70 ปี บางครั้งอาจจะมีนิยามว่าธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้หรือไม่ ทำให้การแก้ พ.ร.บ.เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า ท่าเรือสามารถทำธุรกิจโดยตรงและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ คีย์เวิร์ดอยู่ตรงนี้ โดยการทำ พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเสริมเขี้ยวเล็บให้กับประเทศไทย สามารถทำธุรกิจโลจิสติกส์ได้อย่างครบวงจร และเห็นว่าวันนี้ครูซเทอร์มินัลมีความจําเป็นกับเมืองไทย เพราะว่ากรุงเทพมหานครเป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจะมาเที่ยว
“จะพัฒนาได้ต้องอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน ต้องสร้างอาชีพให้ชุมชน สร้างความเป็นอยู่ให้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง สร้างอาชีพและพัฒนาให้เป็นพนักงานป้อนให้กับในธุรกิจที่จะเกิดใหม่ในเชิงพาณิชย์ ทุกอย่างต้องมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งภาคธุรกิจต้องเติบโตควบคู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ล่าสุดนายสุริยะได้มอบหมายให้ กทท.กลับไปจัดทำแผนแม่บท (มาสเตอร์แพลน) การพัฒนาท่าเรือกรุงเทพให้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรมใน 6 เดือน” นายเกรียงไกร กล่าว.


