
‘เผ่าภูมิ’ สวนโพลประชาชนสับไม่พอใจผลงานรัฐบาล แจงยินดีรับทุกความคิดเห็น ยันเศรษฐกิจฟื้นประจักษ์ ไม่ใช่แค่ความอารมณ์-ความรู้สึก หลังตัวเลขบริโภค-ส่งออก-เสถียรภาพการเงินขยับเพิ่ม มั่นใจไตรมาส 1/68 ยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง พร้อมตอบปมหุ้นไทยดิ่งไม่หยุด ชี้เป็นโอกาส ส่วนคนไม่ฉลาดจะตื่นเต้น!!
4 มี.ค. 2568 – นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่นิด้าโพล ออกมาเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ที่ระบุว่าส่วนใหญ่ไม่พอใจต่อการทำงานของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในรอบ 6 เดือน ว่า รัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกส่วน และพร้อมนำมาพิจารณา แต่อยากชี้แจงว่าเวลารัฐบาลพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจ จะดูจากตัวเลข ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นหลัก ไม่ได้ดูแค่จากความรู้สึก อารมณ์ หรืออะไรต่าง ๆ เพียงเท่านั้น
โดยยืนยันว่าตัวเลขเศรษฐกิจเกือบทุกตัว ยกเว้นกลุ่มยานยนต์อยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา ที่ตัวเลขเศรษฐกิจ ทั้งตัวเลขการบริโภค ตัวเลขการส่งออกและตัวเลขเสถียรภาพทางการเงินต่าง ๆ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น ทุกอย่างบ่งชี้ และบ่งบอกว่าเศรษฐกิจอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งก็น่าจะส่งผลดีมาถึงแนวโน้มในไตรมาส 1/2568 ให้ออกมาดีเช่นเดียวกัน นั่นคือหลักฐานที่รัฐบาลยืนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์
“พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สะท้อนจากตัวเลขเกือบทั้งหมด ยกเว้นกลุ่มยานยนต์ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ดังนั้นจึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2568 จะเติบโตได้เป็นอย่างดี เป็นขาขึ้นแน่นอน” นายเผ่าภูมิ กล่าว
รมช.การคลัง ยังกล่าวถึงกรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ว่า ยังยืนยันว่าหากพิจารณาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจนั้น ทุกอย่างยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตัวเลขทั้งหมดยังอยู่ในช่วงขาขึ้น
พร้อมทั้งระบุว่า “ขอตอบสั้น ๆ ว่า เรื่องนี้คนฉลาดจะมองพื้นฐานทางเศรษฐกิจและจะมองสิ่งนี้เป็นโอกาส ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้ คือ มองไม่เห็นโอกาสในพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มี กับราคาหลักทรัพย์ที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ”
อย่างไรก็ดี นายเผ่าภูมิ ยังระบุว่า กรณีที่มีการปรามาสรัฐบาลว่าไม่มีการปรับปรุงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของรัฐบาลนั้น ยืนยันว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น การปรับปรุงดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะกลาง และการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยหนึ่งในสิ่งที่ดำเนินการ คือ การยกร่างกฎหมายสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ… (Financial Hub), พ.ร.บ. สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) และการแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อเดินหน้าโครงการหวยเกษียณ ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างทั้งสิ้น เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ ในส่วนของ Fin Hub นั้น ยังไม่อยากให้มีการจินตนาการไปไกลจนเกินไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และยืนยันว่ากฎหมายดังกล่าวมีไดนามิกสูง มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนวัตกรรมสูง และกฎหมายไม่ได้มีการเขียนข้อจำกัดว่าธุรกิจทางการเงินควรจะมีหน้าตาแบบได เพราะหากมีการจำกัดไว้ในอนาคต เช่นอีก 3 ปีข้างหน้าอาจจะกลายเป็นเรื่องล้าหลัง ดังนั้นกฎหมายทางการเงินจึงควรต้องเปิดช่องเพื่อที่จะทำให้นวัตกรรมทางการเงินในอนาคตสามารถเข้าสู่ประเทศไทยได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้กฎหมายของประเทศสามารถโอบรับการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยการดำเนินการได้มีการคำนึงถึงความเสี่ยง คำนนึงถึงเสถียรภาพ และคำนึงถึงความเหมาะสมเรียบร้อยแล้ว
“อยากให้มองที่เจตนาดีของรัฐบาลในเรื่องการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน รัฐบาลมีความตั้งใจจริงและเห็นว่าสิ่งนี้จะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญจริง ๆ เป็นเครื่องยนต์ที่ประเทศไทยยังขาดอยู่ เป็นเครื่องยนต์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาสูง เพราะประเทศไทยคงไม่สามารถอยู่กับเครื่องจักรทางเศรษฐกิจเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ ได้ และยืนยันว่า พ.ร.บ. Fin Hub มีการเปิดช่องสำหรับการเข้ามาของ Digital Asset แต่ไม่ได้ตีกรอบว่าอะไรคืออะไร โดยกฎหมายจะมีการกำหนดโดยคณะกรรมการ ซึ่งจะต้องกำหนดตามมาตรฐานสากล มาตรฐานความเสี่ยงและมาตรฐานต่าง ๆ” รมช.การคลัง ระบุ
นอกจากนี้ ยืนยันว่า พ.ร.บ. Fin Hub ไม่ได้เป็นการรวบอำนาจการกำกับดูแลไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Authority : OSA) แต่หน่วยงานดังกล่าวที่ตั้งขึ้นมาใหม่จะกำกับดูแลการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่ธุรกิจการเงินเดิม ๆ จะยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)


