‘ซีพีเอฟ’ มั่นใจธุรกิจปี 68 โตต่อเนื่องจ่อรุกหนักฟิลิปปินส์

CPF มั่นใจกำไรปีนี้ดีกว่าเดิม  ตั้งเป้ายอดขายโต 5-8% วางงบลงทุน 2 หมื่นล้านบาท ขยายการลงทุนต่างประเทส จับตานโยบายทรัมป์กระทบฉุดกำลังซื้อ

13 มี.ค. 2568 นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2568 ว่า หลังจากที่บริษัทมีการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาบริหารจัดการ สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับราคาพืชพันธุ์ทางการเกษตรในตลาดโลก ปรับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากผ่านเหตุการณ์การแพร่ระบาดโควิด และ สงครามรัสเชีย – ยูเครน รวมถึงมีการวางแผนลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง  ทำให้ประเมินกันว่า ผลการดำเนินการในปีนี้ น่าจะเติบโตมากกว่า ปี 2567 ที่ทำยอดขายได้ถึง 580,000 ล้านบาท   โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไว้ที่ 5-8%  ตามปริมาณการขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3% และราคาขายสูงขึ้น 2-3%

“ โมเมนตัมของธุรกิจปีนี้ดีต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 67 ที่ผ่านมา และธุรกิจของ ซีพีเอฟ ในต่างประเทศยังคงไปได้ดี  โดยเฉพาะเวียดนาม ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยถ้าดูเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก ก็ดีกว่าปีที่แล้ว  ” นายประสิทธิ์ กล่าว

สำหรับสัดส่วนรายได้ของ CPF ตามธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) คิดเป็นสัดส่วน 23% ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) คิดเป็น 55% และธุรกิจอาหาร (Food) คิดเป็น 22%  โดยกลุ่ม Feed และ Food มียอดขายและกำไรนิ่ง ราคาขายไม่ค่อยแกว่ง ทำกำไรได้ดีโดยเฉพาะ Food ขณะที่ ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ ที่มีฟาร์มเลี้ยงและเนื้อสัตว์ กำไรยังแกว่งตัวได้ที่ผันแปรไปตามราคาขาย แต่ในส่วนต้นทุนก็ควบคุมได้แล้ว

นายประสิทธิ์ ยังระบุถึงแผนการลงทุนในปีนี้ว่า บริษัทวางงบลงทุนไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท ยังคงเน้นลงทุนด้วยความระมัดระวัง ซึ่งจะใช้ในการปรับปรุงโรงงาน และสร้างโรงงานใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน  โดย 40-50% ใช้ขยายการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์ เพราะมองยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนซื้อกิจการเพิ่ม มีแต่จะเป็นร่วมลงทุน (JV)กับพันธมิตร 

ปัจจุบัน บริษัทมีการลงทุนโดยตรงใน 14 ประเทศ และบริษัทร่วมทุนใน 3 ประเทศ โดยรายได้หลักมาจากในประเทศไทย 31% รองลงมาเป็นเวียดนาม 22% จีน 5% และรายได้จากส่งออก 6% ทั้งนี้ เวียดนามถือว่าเติบโตได้เร็วมาก ปี 67 ยอดขายทะลุ 1.2 แสนล้านบาทไปแล้ว

ส่วนปัจจัยลบสำคัญในปีนี้ คือ นโยบายการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ เนื่องจากมีการตั้งกำแพงภาษี  ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ไทยจะเจอกับการตั้งกำแพงภาษีหรือไม่  โดยสำหรับ CPF คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะบริษัทมีการส่งออกสินค้าไปสหรัฐเพียงรายการเดียวคือ เกี๊ยวกุ้ง มูลค่าราวปีละ 20 กว่าล้านเหรียญ ขณะที่ CPF มีโรงงานผลิตสินค้าในสหรัฐเพื่อจำหน่ายภายในประเทศมียอดขายประมาณ 2 หมื่นล้านบาท/ปี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ซีพีอาสา ลุยช่วยน้ำท่วมใต้ 10 จังหวัด

ซีพีอาสา ร้อยเรียงใจช่วยน้ำท่วมภาคใต้ ตั้งศูนย์ช่วยเหลือครอบคลุม 10 จังหวัด ระดมทุกบริษัทในเครือเข้าช่วยทันที ซีพีเอฟ ส่งทีมเคลื่อนที่เร็วสนับสนุนวัตถุดิบสดให้ครัวสนามพระราชทาน–ครัวกลางคู่ค้า ซีพีเอ็กซ์ตร้า แม็คโคร–โลตัส เติมไข่ไก่และวัตถุดิบช่วยนิสิต–ชุมชน ทรู คอร์ปอเรชั่น มอบเน็ตฟรี แถมขยายวันใช้งาน พร้อมเสริมสัญญาณมือถือ–เน็ตบ้านทุกจุดเสี่ยง เครือซีพีร่วมส่งพลังใจให้พี่น้องภาคใต้ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้โดยเร็ว

“ซีพีเอฟอยู่เคียงข้างทุกวิกฤต” ส่งความช่วยเหลือถึงคนอ่างทอง เติมกำลังใจฝ่าน้ำท่วม

สถานการณ์น้ำในหลายจังหวัดของประเทศไทยขณะนี้ยังคงต้องจับตา หลายพื้นที่โดยเฉพาะในลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้รับผลกระทบจากฝนตกต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มสูงขึ้นและเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนและ

ซีพีเอฟ นำโรงงานอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง รับมาตรฐาน ASC Feed ร่วมยกระดับขีดความสามารถกุ้งไทย

นอกจากคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ปัจจุบัน “ความยั่งยืน” เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งเน้นการพัฒนาและผลิตกุ้งคุณภาพสูง ปลอดสาร ปลอดภัย

“ทุกก้าวคือพลังแห่งการให้” … CPF ผนึกพลังเมืองย่าโม “CP ISAN RUN FOR CHARITY 2025” สมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ ช่วย รพ.มทส.–รพ.เทพรัตน์ฯ

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดย ชมรม CPF Running Club สานต่อเจตนารมณ์ “ทำดีเพื่อสังคม” ผ่านกิจกรรมเดิน–วิ่งการกุศล “CP ISAN RUN FOR CHARITY 2025”

กรมประมงเดินหน้าปล่อย “ปลานักล่า” ต่อเนื่อง กทม.บูรณาการทุกภาคส่วนคุมเข้ม “ปลาหมอคางดำ”

กรมประมงยังคงเดินหน้ามาตรการควบคุมและจัดการ “ปลาหมอคางดำ” อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความหนาแน่น และควบคุมการแพร่กระจาย โดยใช้แนวทางบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน