
‘แบงก์ชาติ’ เดินเครื่องคุมธุรกิจลีสซิ่งนอกกำกับกว่า 3 พันราย เตรียมเปิดลงทะเบียน 6 เดือน พร้อมคุมเพดานดอกเบี้ยเอง ยันพิจารณาตามสภาพเศรษฐกิจ-ต้นทุน การันตีต้องไม่ผลักภาระให้ผู้บริโภค
12 มิ.ย. 2568 – นางสาวพีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการออกประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ (ธ.ร.บ.) ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568 (พ.ร.ฎ. เช่าซื้อลีสซิ่งฯ) จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป โดยธปท.จะออกประกาศหลักเกณฑ์ กำหนด และเรียกให้ผู้ประกอบธุรกิจมาลงทะเบียนตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 จนถึงไตรมาส 1/2569 รวมเป็นระยะเวลา 6 เดือน
สำหรับธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ผ่านมาไม่มีองค์กรใดกำกับ โดยในปี 2567 มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10% ของหนี้ครัวเรือน โดยมีทั้งสิ้นกว่า 3,000 ราย โดยในจำนวนนี้ เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ที่มีพอร์ตสินเชื่อรวมเกินกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ประมาณ 60 ราย ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลาง ที่มีพอร์ตสินเชื่อรวมประมาณ 100-1,000 ล้านบาท มีประมาณ 150 ราย และที่เหลือเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก ที่มีพอร์ตสินเชื่อรวมต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมากจากธุรกิจกลุ่มนี้ ทั้งแจ้งข้อมูลไม่ครบ และบริการไม่เป็นธรรม
“กฎหมายนี้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการเป็นธรรม และรักษาเสถียรภาพ ดูแลหนี้ครัวเรือน มีการคิดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม เป็นมาตรฐาน โปร่งใส การปรับโครงสร้างหนี้ได้มาตรฐานเดียวกัน ข้อมูลชัดเจน ลูกค้าเปรียบเทียบเลือกใช้บริการได้” นางสาวพีรจิต กล่าว
นอกจากนี้ ธปท.เตรียมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ถึงการกำหนดเพดานดอกเบี้ยรถยนต์ รถยนต์มือสอง และจักรยานยนต์ โดยธปท.จะเป็นผู้ดูแลเอง หลังจากดอกเบี้ยที่ผ่านมา สคบ.เป็นผู้กำหนด และใกล้ถึงเวลาทบทวนทุก 3 ปี ในเดือน ต.ค.นี้ จากปัจจุบันเพดานดอกเบี้ย รถยนต์ใหม่ไม่เกิน 10% รถยนต์มือสองไม่เกิน 15% และรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 23% ซึ่งการกำหนดดอกเบี้ยต้องดูข้อมูลครบถ้วน หารือผู้ประกอบการ ดูสภาพเศรษฐกิจ และต้นทุนธุรกิจ รวมทั้งไม่ผลักภาระไปให้ผู้บริโภค
“สินเชื่อจะลดลงหรือไม่ ทุกวันนี้มีสินเชื่อไม่เหมาะสม หนี้ครัวเรือนสูง ธปท.อยากให้หนี้ครัวเรือนลด แต่เชื่อว่าประชาชนจะยังได้รับสินเชื่อปกติ พร้อมเน้นย้ำหากผู้ประกอบการมาลงทะเบียนไม่ทัน แม้จะสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และไม่ต้องมาขอใบอนุญาตใด ๆ แต่จะมีโทษปรับตามกฎหมายสถาบันการเงิน ส่วนโทษปรับกรรมการ 5 แสนบาทนั้น ต้องดูแล้วแต่กรณี จะมีวิธีการเปรียบเทียบปรับ โดยการลงทะเบียนเป็นแค่การมารายงานตัว ระบุข้อมูลไม่มาก เพื่อให้ธปท.มีข้อมูลที่ชัดเจนและนำมาประกอบการทำนโยบายในอนาคต” นางสาวพีรจิต ระบุ


