
‘กรมทางหลวง’ เร่งเครื่องดันมอเตอร์เวย์เชื่อมสนามบินอู่ตะเภา หลังเอดีบีไฟเขียวเงินกู้ 2,440.19 ล้านบาท ลุยเซ็นสัญญาคุมงาน-ผู้รับเหมา ภายใน ก.ค นี้ ตอกเสาเข็ม ส.ค.ปักหมุดเปิดให้บริการปี 71 บูมพื้นที่ใน อีอีซี หนุนท่องเที่ยว-นักธุรกิจ เดินทางเข้าสนามบินอู่ตะเภา ย้ำเปิดใช้ไม่เสียค่าผ่านทาง
19 มิ.ย. 2568 – แหล่งข่าวจากกรมทางหลวง(ทล.)เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบินอู่ตะเภา ว่าหลังจากที่กรมฯได้ลงนามในสัญญาเงินกู้ กับธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) วงเงิน 2,440.19 ล้านบาท เตรียมลงนามสัญญากับที่ปรึกษาควบคุมงาน ประกอบด้วย บริษัท เอพซิลอน จำกัด, บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นเนล กรุ๊ฟ, และบริษัท ดีเคด คอนซัลแตนท์ จำกัด วงเงิน 125,847,000 บาท ซึ่งจะเข้ามาดูแลและควบคุมงานก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐาน หลังจากนั้น กรมฯจะลงนามสัญญากับ เอกชนที่ชนะการประมูลบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) วงเงิน 2,651,988,700 บาท ภายในเดือน ก.ค. นี้
สำหรับโครงการนี้การเวนคืนที่ดินเสร็จสิ้น 100% มีระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญาอยู่ที่ 36 เดือน หรือ 3 ปี เมื่อลงนามสัญญาฯกับผู้รับจ้างเข้าไปสำรวจพื้นที่ คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มงานก่อสร้างได้ ประมาณ ต้นเดือนพฤศจิกายน นี้ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนกรกฎาคม 2571 หลังจากได้ลงนามเงินกู้กับธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 นี้มีส่วนสำคัญในการสนับสนุน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor หรือ EEC) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และตอบสนองการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค ช่วยการลดระยะทางในการเดินทางสู่สนามบินอู่ตะเภา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดปัญหาการจราจรแออัดบริเวณโดยรอบสนามบิน และสนับสนุนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3 ของประเทศไทย ตลอดจนเสริมสร้างระบบคมนาคมขนส่งแบบไร้รอยต่อ เชื่อมโยงกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกับภาคตะวันออก ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศและส่งเสริมการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เป็นเมืองธุรกิจและศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญของประเทศไทยในอนาคต เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยย่นการเดินทางสนามบินอู่ตะเภาจาก 5 กม. เหลือ 1.92 กม. โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง เนื่องจากส่วนต่อขยายอยู่นอกบริเวณด่านอู่ตะเภา และไม่ได้สร้างด่านเพิ่ม โครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนเดินทางเข้า-ออกสนามบินอู่ตะเภาได้อย่างสะดวก รวดเร็ว รองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้เป็นเมืองท่า ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินและเมืองธุรกิจที่สำคัญของไทย
สำหรับรูปแบบโครงการครอบคลุมการ ก่อสร้างทางยกระดับแนวใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 1.92 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างทางบริการใต้ทางยกระดับ รวมถึงช่องทางเลี้ยวและทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัดกับทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) จุดเริ่มต้นจากทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด กม.148+328 ไปจนถึงบริเวณทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3 นอกจากนี้ ยังมีการ ปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) จาก กม.186+350 ถึง กม.192+000 โดยขยายจาก 4 ช่องจราจร เป็น 8 ช่องจราจร ระยะทาง 5.65 กม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2565 อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินงานก่อสร้างโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างทางยกระดับแนวใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร และขยายช่องทางจราจรเพิ่มเติมในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยลดระยะทางจากการเดินทางโดยทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด สู่สนามบินอู่ตะเภา จากเดิม 5 กิโลเมตร เหลือเพียง 1.92 กิโลเมตร รวมถึงปรับปรุงการเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดหาเงินกู้จากต่างประเทศ


