
‘เอกชน’ มองทีมไทยแลนด์ชงข้อเสนอภาษีสหรัฐฯ เต็มที่แล้ว ให้ในสิ่งที่ทำได้ และไม่กระทบผู้ประกอบการในประเทศ ชี้ 36% สูงเกินเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน-คู่แข่ง หวั่นลำบาก
9 ก.ค. 2568 – นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ได้เรียกหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนในสหรัฐฯ ถึงแนวทางการเจรจาอัตราภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 31 ก.ค. 2568 เนื่องจากสหรัฐฯ จะมีการบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้ากับไทยที่ 36% ในวันที่ 1 ส.ค. นี้
ทั้งนี้ ยอมรับว่าภาคเอกชนมีความกังวลว่าการเจรจาจะไม่จบ ดังนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบจึงต้องเร่งหาทางเพื่อที่จะทำให้สหรัฐฯ พอใจกับข้อเสนอของไทยให้ได้ บนพื้นฐานว่าจะต้องสมดุลทั้ง 2 ฝ่าย โดยมองว่าอัตราภาษีนำเข้าที่ 36% นั้นแรงเกินไป เพราะหากเปรียบเทียบกับเวียดนามที่โดนเรียกเก็บภาษี 20% ขณะที่เวียดนามเกินดุลสหรัฐฯ ถึง 1.2 แสนล้านดอลลาร์ ต่างกับไทยถึง 3 เท่า โดยไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่ 4.6-4.7 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น
“ข้อเสนอที่เราปรับปรุงเสนอไปมองว่าเราก็ให้เต็มที่แล้ว เราพยายามเสนอในสิ่งที่เราทำได้ และเป็นสิ่งที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยมากเกินไป โดยเฉพาะภาคการส่งออก และเราเน้นนำเข้าในสิ่งที่เราขาดแคลน ส่วนอัตราที่เราโดน 36% นั้น ถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เราจะลำบาก ถามว่าสะเทือนมากแค่ไหน ก็ต้องดูประเทศอื่น หรือคู่แข่งด้วยว่าเขาโดนกันเท่าไหร่ ตอนนี้ผลออกมาแค่ 2-3 ประเทศเท่านั้น บางอย่างเราอาจจะเสียเปรียบ บางอย่างเราอาจจะไม่เสียบเปรียบ บางอย่างเสียเปรียบมาก แต่บางอย่างเราก็เสียเปรียบน้อย ตรงนี้ต้องมานั่งวิเคราะห์กันว่าจะแก้ไขอย่างไร” นายพจน์ กล่าว
นายพจน์ กล่าวอีกว่า หากถามว่าไทยควรจะได้อัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เท่าไหร่ ก็ต้องมาคิดว่าอัตรา 10% เป็นฐานต่ำที่สุด ถ้าเราทำได้ดีที่สุดที่ 10% ก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องมาดูว่าจะได้ขนาดไหน ขอแค่อย่าเสียเปรียบคู่แข่งของเรามากเกินไป ส่วนข้อเสนอที่ไทยจะลดอัตราภาษีนำเข้าบางรายการให้สหรัฐฯ ที่ 0% นั้น มองว่า พิกัดภาษีบางสินค้ามีการกำหนดมานาน และกำหนดสูงมาก อัตรา 30-60% แต่ไม่ได้มีการนำเข้าเลย ตรงนี้ก็ถือเป็นโอกาสล้างบาง เช่น ผลไม้ ทุกวันนี้ไทยนำเข้าผลไม้จากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และจีน โดยใช้ FTA ซึ่งภาษี 0% อยู่แล้ว ดังนั้นบางเรื่องการลดภาษีเหลือ 0% จึงไ่ม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะบางสินค้าเราก็ได้ภาษี 0% อยู่แล้ว


