
‘พิชัย’ แจงสหรัฐฯ ยังไม่ตอบกลับ หลังไทยชงข้อเสนอภาษีใหม่ ระบุอยู่ระหว่างอัปเดตข้อมูลเล็กน้อย ด้าน ‘จุลพันธ์’ ชี้หากให้ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 0% ทั้งหมด ก็ต้องให้ประเทศคู่ค้าอื่นด้วย หวั่นทำเขื่อนแตก ยันรัฐบาลต้องปกป้องผู้ประกอบการ-ภาคเกษตรในประเทศก่อน พร้อมแนะเอกชนเร่งปรับตัว ลดพึ่งพาตลาดส่งออกเดียว
21 ก.ค. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ว่า ขณะนี้สหรัฐฯ ยังไม่ได้มีการตอบกลับมาหลังจากที่ได้เสนอเงื่อนไขที่ได้มีการปรับปรุงใหม่ให้ทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยระหว่างนี้ยังอยู่ระหว่างการอัปเดตข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ และการเคลียร์ตัวเลขต่าง ๆ ให้ตรงกัน ซึ่งเป็นการดำเนินการระหว่างคนทำงานว่าข้อเสนอนี้ว่าอย่างไร ข้อเสนอนั้นว่าอย่างไร
“ตอนนี้เป็นการอัปเดตข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างคนทำงานด้วยกัน ว่าข้อเสนอนี้เป็นอย่างไร เป็นการเคลียร์ตัวเลขให้ตรงกันก่อน” นายพิชัย ระบุ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวว่า โครงการสถานบันเทิงครบวงจร (entertainment complex) อาจจะต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยระหว่างนี้จะต้องมีการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกันดี ๆ ก่อน และมองว่าสถานการณ์ในขณะนี้ โครงการดังกล่าวยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เพราะรัฐบาลยังมีหน้าที่ในการเร่งแก้ปัญหาหลายเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่า เช่น ภาษีสหรัฐฯ
สำหรับข้อเสนอที่จะให้กับสหรัฐฯ นั้น เบื้องต้นไทยอาจจะไม่สามารถเปิดรับได้ทั้งหมดเหมือนกับประเทศที่ได้มีการตกลงกันไปแล้ว เพราะการเปิดข้อเสนอทั้งหมดแบบนั้นมันมีผลกระทบอย่างมาก เช่น เวียดนาม ที่ได้ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 20% แต่เปิดตลาดสินค้านำเข้าให้ 0% โดยมองว่าการดำเนินการแบบนี้อาจจะไม่ได้จบแค่สหรัฐฯ เพราะยังมีเรื่องอนุสัญญาว่าด้วยชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด (most-favored-nation clause) ด้วย ซึ่งหมายความว่า หากเราให้ภาษี 0% กับบางประเทศ ก็อาจจะต้องให้กับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการในประเทศอย่างมาก
โดยเฉพาะกับสินค้าที่ประเทศไทยพยายามปกป้อง ทั้งภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ดังนั้นมองว่าหากไทยมีการเปิดเสรีนำเข้าสินค้า 0% ให้กับประเทศหนึ่ง ก็อาจจะโดนหยิบยกมาเป็นข้อเรียกร้องทันที โดยเฉพาะกับสินค้าที่รัฐบาลพยายามปกป้อง ตรงนี้จะกลายเป็นเขื่อนแตก ทำให้เกิดความเสียหายกับภาคธุรกิจในประเทศ ส่วนสินค้าบางประเภทที่ปัจจุบันก็มีการให้ภาษีนำเข้า 0% อยู่แล้ว ถ้าไทยเปิดเพิ่มเติม ก็ถือเป็นการเปิดให้มีการแข่งขันกัน แบบนี้ถือว่าไม่เสียหายอะไรมาก เช่นเดียวกันเรื่องการเพิ่มเม็ดเงินลงทุน ซึ่งหากสอดคล้องกับแผนการลงทุนของภาคเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจอยู่แล้ว ก็อาจจะให้ขยับไปลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็จะได้ประโยชน์ในเรื่องของการเจรจา เช่น เรื่องพลังงาน เหล่านี้ก็มีอยู่ในแผนการเจรจรอยู่แล้ว โดยมองว่าข้อเสนอ หรือข้อตกลงที่ไทยเจรจากับสหรัฐฯ จึงยึดหลักที่จะต้องได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย
ส่วนก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าไทยจะเปิดให้มีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 0% หลายหมื่นรายการนั้น นายจุลพันธ์ กล่า่วว่า ไม่อยากให้ไปตกใจกับจำนวนสินค้าที่ไทยจะเปิดให้ 0% เพราะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพิกัดภาษีศุลกากรมีจำนวนมาก เช่น ปลากระป๋อง มีทั้งปลากระป๋องในน้ำมัน ปลากระป๋องในน้ำแร่ และปลากระป๋องในน้ำเกลือ สินค้าเหล่านี้มีพิกัดแยกทั้งหมด ดังนั้นเมื่อฟังตัวเลขอาจจะดูน่าตกใจ แต่ในข้อเท็จจริงหากนับเป็นประเภทแล้วไม่ได้เยอะขนาดนั้น
“การเจรจาระหว่างประเทศจะไปเอาในสิ่งที่ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว หรือเขาได้ประโยชน์ทั้งหมด มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรอเวลา เพื่อให้ทางสหรัฐฯ พิจารณาข้อเสนอแล้วส่งกลับมาก่อนว่าสุดท้ายจะไปจบที่ตรงไหน แต่รัฐบาลยืนยันว่าการสร้างสมดุลการค้าใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ เอกชนไทย กลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะภาคเกษตรกรจะต้องอยู่ได้ ส่วนเรื่อง local content นั้น ก็อาจจะต้องมาพิจารณาในรายละเอียดให้มีความเหมาะสมอีกครั้ง ส่วนถามว่าจะมีสินค้ากลุ่มไหนบ้างที่ไม่สามารถให้ภาษีนำเข้า ที่ 0% หรือสามารถให้ภาษีนำเข้าที่ 0% แก่สหรัฐฯ ได้นั้น คงตอบไม่ได้ เพราะยังอยู่ระหว่างการเจรจา” รมช.การคลัง ระบุ
ทั้งนี้ ในระหว่างนี้ภาคเอกชนก็ต้องมีการปรับตัว เพราะไม่มีทางที่โลกจะย้อนกลับไปอยู่ที่จุดเก่าก่อนที่จะเกิดปัญหาภาษีสหรัฐฯ ขณะเดียวกันรัฐบาลเองก็มีหน้าที่ในการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ ซึ่งจะดำเนินการผ่านการจัดเตรียมวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) จำนวน 2 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในกรณีที่มีความจำเป็น ในการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนกับภาคเอกชนให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ประคองเรื่องการจ้างงาน ช่วยเหลือภาคแรงงานให้อยู่ได้ ซึ่งแนวทางต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีการเตรียมรองรับไว้พอสมควรแล้ว
ส่วนที่ภาคเอกชนระบุว่า ซอฟท์โลน 2 แสนล้านบาทอาจจะไม่เพียงพอนั้น อยากให้รอดูในรายละเอียดก่อน เชื่อว่าวงเงินดังกล่าวจะไม่ได้จบภายในเดือนเดียว และหากท้ายที่สุดเมื่อมีความจำเป็นเชื่อว่าจะมีกลไกของรัฐที่สามารถดำเนินการเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว
ขณะเดียวกันก็ต้องมาดูเรื่องการขยายตลาด การลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นหลัก โดยอาจจะต้องมาพิจารณาทิศทางหรือแนวโน้มตลาดโลกอีกครั้ง เพราะกรขยับปรับเปลี่ยนเรื่องสมดุลทางการค้า ก็อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นในวิกฤติได้ ดังนั้นหากไทยมองเห็นและสามารถคว้ามาได้ก็จะเป็นประโยชน์กับประเทศอย่างมาก

