'บางกอกแอร์เวย์' เร่งเครื่องลงทุนเมืองการบินอู่ตะเภา

‘พุฒิพงศ์’ เร่งเครื่องลงทุนการเมืองการบินอู่ตะเภา เผยเจรา ‘EEC’ ได้ข้อยุติขอลดขนาดการลงทุนเฟสที่ 1 เริ่มต้นที่รับผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี คาดได้ NTP ภายในปี69  ส่วน ‘MRO’ เล็งถก ‘การบินไทย’ ผุดโมเดลแบ่งพื้นที่บริหารแทนร่วมทุน

21 ก.ค.2568 – นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA เปิดเผยความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาทว่า ขณะนี้บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA ได้เจรจากับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อขอปรับลดการลงทุนในเฟสแรก ซึ่งทางคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้เห็นชอบกับแนวทางดังกล่าวแล้ว  จากแผนเดิมการพัฒนาในเฟสแรกจะต้องรับได้ผู้โดยสารได้ที่ 12 ล้านคนต่อปี ต่อมาทาง UTA ต่อรองให้เริ่มพัฒนาที่ 8 ล้านคนต่อปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ต่อรองการลงทุนครั้งแรกในเฟสแรกให้เริ่มต้นรองรับผู้โดยสารที่ 3 ล้านคนต่อปีก่อน จากนั้นหากจำนวนผู้โดยสารเติบโตขึ้นก็จะทยอยลงทุนให้รองรับได้ที่ 6 ล้านคนต่อปีและ 12 ล้านคนต่อปีตามลำดับ โดยท้ายที่สุดแล้ว เฟสแรกก็จะสามารถรองรับได้ที่ 12 ล้านคนต่อปีตามแผนเดิม เพียงแต่เป็นการแบ่งทยอยลงทุนเพื่อความเหมาะสมตามสถานการณ์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการได้รับผลจากปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น ผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19  ขณะที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้เดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ อีกทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินยังไม่สามารถเริ่มโครงการได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการเติบโตของผู้โดยสาร

นายพุฒิพงศ์  กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทาง EEC อยู่ระหว่างระบุเงื่อนไขการปรับรายละเอียดการลงทุนดังกล่าวไว้ในสัญญา จากนั้นคาดว่าจะมีการลงนามกันอีกครั้ง แต่ไม่ต้องมีการปรับแก้สัญญา เพราะหลักการสำคัญยังคงเดิม และคาดว่าทาง UTA จะได้รับการแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ภายในปี 2569 ขณะปัจจุบัน UTA ได้ลงทุนในโครงการนี้ไปแล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท แม้โครงการจะมีความล่าช้ามาก รวมทั้งมีความไม่ชัดเจนในโครงการรถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน และโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาล แต่ยืนยันว่า UTA จะยังเดินหน้าโครงการต่อไป และพันธมิตรใน UTA ทั้ง BTS และ STECON ก็ยังมีความพร้อมเช่นกัน

สำหรับความคืบหน้าโครงการร่วมลงทุนโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภากับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าเบื้องต้นจะมีการเจราจหารือถึงขอบเขตในการบริหารงานโครงการว่าจะร่วมลทุนกันในลักษณะรูปแบบไหน รายละเอียดบางอย่างที่ต้องตกลงกันให้ชัดเจน เพื่อที่จะให้เกิดความสะดวกและเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงานของแต่ละฝ่าย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้

“รูปแบบสัดส่วนการร่วมทุนกับการบินไทย อาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยรูปแบบที่กำลังพิจารณาคือ การแบ่งพื้นที่รับผิดชอบกัน แทนที่จะนำเงินมารวมกันเป็นทุนก้อนใหญ่  โดยในส่วนของบางกอกแอร์เวย์สจะรับผิดชอบเครื่องบินขนาดเล็ก  เช่นA320 ในขณะที่การบินไทยจะดูแลเครื่องบินขนาดใหญ่ (Wide Body) เช่น B777 A350 และต่างฝ่ายต่างลงทุนในพื้นที่ของตนเอง โดยทั้งสองฝ่ายจะสร้าง Hangar ของแยกกัน โมเดลนี้จะช่วยให้บริหารจัดการได้ง่ายกว่าการนำเงินมารวมกันและบริหารร่วมกันทั้งหมด ลดความยุ่งยากในการบริหาร แม้จะลงทุนแยกกัน แต่จะ ยื่นข้อเสนอพร้อมกัน ขณะที่สัดส่วนการลงทุนที่ชัดเจนยังไม่ได้ข้อสรุป ส่วนการลงทุนเฟสแรก คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไว้ที่ 1,000 ล้านบาท” นายพุฒิพงศ์ กล่าว

เพิ่มเพื่อน