
บทบาทใหม่
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญของประเทศที่มีส่วนช่วยดึงดูดการลงทุนจากทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยเครื่องมือคือการจัดการพื้นที่ที่มีอยู่ พัฒนาและต่อยอดให้รองรับความต้องการของนักลงทุนได้อย่างครบครัน และตลอดระยะเวลามากกว่า 50 ปีที่ผ่านมา กนอ.ดำเนินการโดยผ่านเงื่อนไขและการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอก ทั้งมาตรการภาษีของสหรัฐ บทบาทเชิงรุกของจีน การพัฒนา AI และเทคโนโลยีดิจิทัลที่รวดเร็ว
รวมไปถึงพฤติกรรมของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น ภายในเวลาไม่ถึงทศวรรษ โครงสร้างอุตสาหกรรมโลกได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่สินค้า รูปแบบธุรกิจ และการผลิตแบบไร้พรมแดน กนอ.จึงต้องดำเนินงานภายใต้บทบาทที่ใหม่มากขึ้น อัปเดตอีกครั้งเพื่อก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลง ยกระดับจาก “ผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน” ไปสู่ “กลไกเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ” ที่สามารถออกแบบอนาคตเศรษฐกิจไทยให้เติบโตบนฐานของนวัตกรรม ความยั่งยืนและความร่วมมือแบบพหุภาคี กับภาคีทั้งในและต่างประเทศ
เนื่องจากอาเซียนยังคงเป็นภูมิภาคเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลก โดยประเทศไทยสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมั่นคง เนื่องจากมีจุดแข็งอยู่ที่โครงสร้างอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ห่วงโซ่การผลิตที่เชื่อมโยงระดับโลก และภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง ในปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่า FDI รวมกว่า 663,000 ล้านบาท โดยพื้นที่ภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ.ซึ่งครอบคลุมกว่า 190,000 ไร่ และมีผู้ประกอบการกว่า 5,300 ราย ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ รองรับการจ้างงานโดยตรงมากกว่า 1 ล้านคน และเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกในเชิงลึก
อย่างไรก็ดี ความได้เปรียบนี้กำลังถูกท้าทายจากประเทศเพื่อนบ้านที่เร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและดึงดูด FDI อย่างแข็งขัน เช่น เวียดนามที่มีอัตราการเติบโตของ FDI เกิน 10% ต่อปี และอินโดนีเซียที่ลงทุนในเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันประเทศไทยยังเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป และความคาดหวังจากนักลงทุนที่ต้องการให้ภาครัฐตอบสนองได้รวดเร็วและยืดหยุ่นยิ่งขึ้น
ผู้นำใหม่
ในปี 2568 นี้ กนอ.ได้เปิดตัว “สุเมธ ตั้งประเสริฐ” ในฐานะผู้ว่าการ กนอ.คนที่ 13 ภายใต้การทำงานในบทบาทใหม่ที่ต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Governance) การบูรณาการเชิงระบบ (Collaborative Partnership) และการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและความรู้ในการบริหารจัดการอย่างยืดหยุ่น โดยมีเป้าหมายไม่ใช่เพียงการรองรับการลงทุน แต่คือการสร้าง “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีมูลค่าสูง โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืนอย่างแท้จริง
วิสัยทัศน์ใหม่
สุเมธ เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ “IEAT RAPID: แพลตฟอร์มเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน” ว่า เป็นแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่จะยกระดับ กนอ. จากผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไปสู่แพลตฟอร์มลงทุนแห่งอนาคต ที่พร้อมเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน การกำกับดูแลและนวัตกรรมเข้าสู่ระบบนิเวศอุตสาหกรรมของอนาคต โดยมี 5 แกนหลักสำคัญ ดังนี้ R–Regulatory Flexibility ปลดล็อกกฎระเบียบเพื่อความเร็วและยืดหยุ่น ผ่านการจัดตั้ง Regulatory Sandbox รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ลดข้อจำกัดทางกฎหมาย และเร่งกระบวนการอนุมัติใบอนุญาต โดยตั้งเป้าให้ระบบ One-Stop Digital สามารถให้บริการครบวงจรภายใน 100 วันแรกของการดำเนินการ
A–Advanced Infrastructure ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสู่มาตรฐานโลก ผ่านโครงการ Smart-Green Estate และการเปิดตัว Green Investment Hub ครอบคลุม 5 ภูมิภาค พร้อมเชื่อมโยงสาธารณูปโภคอัจฉริยะและส่งเสริมพลังงานสะอาดครบวงจร เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่มองหาโครงสร้างที่พร้อมต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
P–Productivity through Innovation เพิ่มผลิตภาพผ่านนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ โดยจัดตั้ง New Economy Business Unit ร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อบูรณาการธุรกิจใหม่ เช่น Carbon Management, การบริหารจัดการน้ำ และ Utility ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในการพัฒนา Talent Pool ด้าน ESG, Smart Infra และ Industrial Analytics
I–Integrated Digital Transformation เปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ระบบดิจิทัลแบบครบวงจร โดยนำ AI, Big Data และระบบดิจิทัลขั้นสูงเข้ามาใช้ในทุกระดับ ตั้งแต่การบริหารพื้นที่ บริการผู้ประกอบการ ไปจนถึง Dashboard กลางที่สามารถติดตาม วิเคราะห์ และรายงานผลแบบเรียลไทม์ได้อย่างโปร่งใส
D–Driving Growth & Sustainability ขับเคลื่อนการเติบโตบนฐานความยั่งยืนด้วยการพัฒนา Eco-Industrial Town ให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่า 70% ภายในปี 2571 เปิดตัว Carbon Credit Exchange และกลไก Green Supply Chain เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก พร้อมยกระดับมาตรฐาน ESG ให้เป็นจุดขายหลักของนิคมอุตสาหกรรมไทยในระดับสากล
นโยบายใหม่
แนวคิด IEAT RAPID จะถูกแปลงเป็นนโยบายหลัก 4 ด้านสำคัญที่สะท้อนบทบาทใหม่ของ กนอ.ในการเป็น “แพลตฟอร์มขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต” ดังนี้ ด้านที่หนึ่ง คือ การสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ผ่านการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเศรษฐกิจใหม่ (New Economy Business Unit) โดยเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมออกแบบและบูรณาการโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เช่น ระบบการจัดการ Carbon Credit, การบริหารจัดการน้ำ พลังงาน และ Utility อื่นๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากโครงสร้างพื้นฐานเดิม
อีกทั้ง กนอ.ยังมีบทบาทในการส่งเสริมให้ SME ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และพลังงานสีเขียว เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างทุนใหญ่และทุนท้องถิ่นอย่างสมดุล
ด้านที่สอง คือ การยกระดับการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมและบริการแก่ผู้ประกอบการ โดยนำนวัตกรรมและองค์ความรู้มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้มีความยืดหยุ่น สะดวก และรวดเร็ว พร้อมทั้งพัฒนารูปแบบนิคมอุตสาหกรรมแนวใหม่ เช่น “นิคมแนวดิ่ง” (Vertical Industrial Estate) ในพื้นที่เมืองหลัก เช่น กรุงเทพมหานคร เพื่อดึงดูด Global Talent และ Startup จากทั่วโลกให้เข้ามาทำงานและพัฒนาธุรกิจในประเทศไทย โดยไม่ต้องพึ่งพื้นที่ขนาดใหญ่หรืออยู่ห่างไกลศูนย์กลางนวัตกรรม
ด้านที่สาม คือการพัฒนาทุนมนุษย์ของ กนอ.ให้มีสมรรถนะสอดรับกับบริบทใหม่ โดยเน้นทักษะด้านการทำงานร่วมกับระบบ AI และการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างชาญฉลาด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการยกระดับแรงงานไทยในนิคมให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานสากล ด้วยทักษะและคุณภาพที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต พร้อมพัฒนาเครือข่าย Talent Pool ทั้งในระดับนิคมอุตสาหกรรมและระดับประเทศ
ด้านที่สี่ คือ การยกระดับบทบาทด้านการกำกับดูแลและการส่งเสริมผู้ประกอบการในนิคม ให้สามารถเติบโตอย่างมั่นคง บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างระบบสนับสนุนและการประเมินผลที่ยึดหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เสริมสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความยั่งยืนในทุกมิติ
แนวทางการดำเนินงานใหม่
เพื่อให้วิสัยทัศน์ IEAT RAPID บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม กนอ.ต้องขับเคลื่อนแผนงานเชิงยุทธศาสตร์ในระยะสั้น กลาง และยาว โดยมีเป้าหมายในการยกระดับจากผู้ให้บริการแบบเดิม สู่แพลตฟอร์มเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ทั้งด้านโครงสร้าง กฎหมาย เทคโนโลยี และระบบความร่วมมือ
ใน ระยะสั้น กนอ.จะเริ่มต้นจากการวางฐานระบบแพลตฟอร์มกลาง โดยปรับบทบาทจากผู้จัดการพื้นที่ไปสู่ผู้วางระบบนิเวศอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ผ่านการสร้างความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานรัฐ เอกชน และชุมชน พร้อมจัดตั้งกลไกความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ หน่วยงานรัฐ เช่น BOI กระทรวงอุดมศึกษา กระทรวงพาณิชย์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของร่วมในทิศทางการพัฒนานิคม
ใน ระยะกลาง กนอ.จะขยายขอบเขตการดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและระบบความร่วมมือ โดยเร่งเดินหน้าโครงการ Smart-Green Estate นำร่อง 3 แห่ง พร้อมเปิด Green Investment Hub ในทุกภูมิภาคหลักของประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูงที่ให้ความสำคัญกับ ESG ขณะเดียวกันจะสร้างความร่วมมือเชิงวิชาการกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในการพัฒนา Talent Pool ด้านโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะและความยั่งยืน ขยายการใช้ License Concierge และระบบ Investor Scorecard ในการติดตาม ดูแล และผลักดันผู้ประกอบการแบบเชิงรุก
ใน ระยะยาว กนอ.จะเปลี่ยนผ่านตัวเองจาก “ผู้บริหารพื้นที่” ไปสู่ “แพลตฟอร์มขับเคลื่อนเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศ” โดยออกแบบระบบ Open Industrial Platform ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูล ทุนมนุษย์ และบริการจากภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกันได้อย่างเป็นระบบ ตั้งเป้าให้ 70% ของพื้นที่นิคมทั้งหมดพัฒนาเป็น Eco-Industrial Town ภายในปี 2028 พร้อมเปิดตัว Carbon Credit Exchange และกลไก Green Supply Chain ที่สามารถวัดผลได้จริง รองรับการลงทุนใหม่ในภาคอุตสาหกรรมที่มุ่งเป้าสู่ Net Zero และ SDGs ไปพร้อมกัน.


