
‘รฟท.’ ย้ำคำพิพากษาศาลปกครอง วินิจฉัยตามเอกสารการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน พ.ศ. 2462 – 2465 ถือเป็นที่สุด ยันที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จ.บุรีรัมย์เป็นที่ดินของรัฐ และเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ
21 ส.ค. 2568 – รายงายข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ชี้แจงกรณีข้อพิพาทบริเวณ “ที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง” จังหวัดบุรีรัมย์ข้อพิพาทบริเวณ “ที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง” จังหวัดบุรีรัมย์ โดยอ้างอิงคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ซึ่งวินิจฉัยยืนยันอย่างชัดเจนว่าที่ดินทั้งหมดในบริเวณดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อันเป็นที่ดินของรัฐ
1. เอกสารการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง ประกอบด้วย
1.1 พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวง ต่อจาก นครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี ประกาศ ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 ประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2462 (รัชกาลที่ 6)
1.2 พระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ประกาศ ณ ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 ประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2464 (รัชกาลที่ 6)
1.3 พระราชบัญญัติจัดวางทางรถไฟแลทางหลวง พ.ศ. 2464
1.4 แผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรำ อนึ่ง ทางสายหลัก จะเป็นแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ ตอนที่ 2 ตั้งแต่ตำบลท่าช้าง จังหวัดนครราชสีมา ถึง จังหวัดสุรินทร์
2. การแจ้งการครอบครองที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง ในปี พ.ศ. 2497 มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 บัญญัติให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ การรถไฟฯ จึงดำเนินการแจ้งการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน เพื่อเป็นการยืนยันสิทธิการครอบครองที่ดินตามที่ปรากฏในแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรำ อันเป็นที่มาของใบแจ้งการครอบครองที่ดิน (สค.1) เลขที่1180 เนื้อที่ 5,083 ไร่ 80 ตารางวา
3. ขอบเขตที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง การกำหนดขอบเขตที่ดินเริ่มจากการที่ข้าหลวงพิเศษและกรมรถไฟแผ่นดิน เห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้หิน ดิน และวัสดุอื่นๆ สำหรับการก่อสร้างทางรถไฟและการเดินรถ จึงสำรวจและวางแนวทางรถไฟแยกออกจากเส้นทางรถไฟสายนครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี (เส้นทางสายหลัก) บริเวณกิโลเมตรที่ 375+650 ออกไปเพื่อทำทางรถไฟเข้าไปขนหินย่อยที่เขากระโดงและบ้านตะโก เป็นระยะทางรวม 8 กิโลเมตร
โดยจากผลการสำรวจปรากฏว่ามีผู้ครอบครองที่ดินบริเวณตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรำ จำนวน 18 ราย ซึ่งอยู่ช่วง กม. 0 ถึง กม.4+450 แต่ช่วงระยะทางจาก กม. 4+450 ถึง กม. 8+000 มีความกว้างจากกึ่งกลางแนวกรุยทางรถไฟข้างละ 1,000 เมตร ในขณะนั้นเป็นที่รกร้างว่างเปล่า มีสภาพเป็นป่าไม้และเป็นที่เนินเขา ไม่มีเจ้าของ กรมรถไฟจึงจ่ายค่าทำขวัญแก่ผู้ครอบครองที่ดิน จำนวน 18 ราย (ตามหนังสือกรมรถไฟแผ่นดิน เลขที่ ค.อ. 508/67ลงวันที่ 24พฤศจิกายน 2567) และเข้าครอบครองกำหนดให้เป็นที่ดินรถไฟ เพื่อประโยชน์แก่กิจการรถไฟสำหรับลำเลียงหิน ระเบิดหินและย่อยหินบริเวณที่ดินรถไฟเขากระโดง เพื่อใช้ในการก่อสร้างและเดินรถไฟ
การที่มีผู้กล่าวอ้างว่า ที่ดินรถไฟเขากระโดงควรมีระยะห่างออกไปข้างละ 40 เมตร นั้น เป็นกรณีที่ระบุแนวเขตที่ดินรถไฟสำหรับทางรถไฟสายระหว่างย่านสถานีเท่านั้น ไม่รวมย่านสถานี หรือย่านเก็บกองสินค้า หรือบริเวณที่เป็นแหล่งวัสดุในการสร้างทางรถไฟ แต่อย่างใด

4. การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหวงห้ามที่ดินอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอันเป็นที่ดินว่างเปล่า พ.ศ. 2478ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรำ นั้นเป็นที่ดินที่จัดหามาเพื่อใช้ในกิจการรถไฟโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 3 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดวางทางรถไฟแลทางหลวง พ.ศ. 2464 ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในเวลานั้น ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดิน ตามมาตรา 25 และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คือ ห้ามไม่ให้ยกกำหนดอายุความขึ้นต่อสู้สิทธิของแผ่นดินเหนือที่ดินรถไฟหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นของรถไฟ และห้ามมิให้เอกชนหรือบริษัทใดๆ หวงห้ามหรือถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น การได้มาซึ่งที่ดินบริเวณดังกล่าวจึงได้มาก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติหวงห้ามที่ดินอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอันเป็นที่ดินว่างเปล่า พ.ศ. 2478
การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 และรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของกรมรถไฟแผ่นดิน ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นเจ้าของถือกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรำ การที่ราษฎรอ้างว่าจับจองที่ดินบริเวณดังกล่าวก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จึงเป็นการขัดต่อกฎหมาย ไม่ทำให้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่กล่าวอ้างได้
5. ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 คำพิพาษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 เลขแดงที่ 1112/2563 ได้วินิจฉัยไว้ชัดเจนว่า ที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และที่ดินที่บริเวณที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ คำพิพากษาดังกล่าวจึงใช้ยันบุคคลภายนอกได้ มิได้มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี ตามมาตรา 145 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เท่านั้น ทั้งนี้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 หมายเลขแดงที่ 582/2566
การรถไฟแห่งประเทศไทย ขอยืนยันว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลาตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์เป็นที่ดินของรัฐ อันเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ การรถไฟฯได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิที่ทับซ้อนกับที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ มาโดยตลอด เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของรัฐและเป็นการป้องกันมิให้เกิดผลเสียหายต่อประชาชน ระบบเศรษฐกิจ รวมถึงกระบวนการบริหารจัดการของรัฐ
โดยได้เตรียมมาตรการรองรับสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนเอกสารสิทธิของกรมที่ดินด้วย
คำพิพากษาศาลปกครองกลางเป็นที่สุด และมีผลผูกพันทุกฝ่าย โดยที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดงตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรำ อยู่ในท้องที่ตำบลอิสาณ และตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ซึ่งทุกภาคส่วนควรเคารพต่อคำพิพากษาอันเป็นบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย
การรถไฟแห่งประเทศไทย เห็นว่าคำพิพากษาศาลฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคำพิพากษาศาลปกครองกลางถือเป็นที่สุด และมีผลผูกพันทุกฝ่าย ว่าที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ บริเวณตำบลอิสาณ ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย อันเป็นที่ดินของรัฐ การออกเอกสารสิทธิในที่ดินทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทุกภาคส่วนควรเคารพต่อคำพิพากษาอันเป็นบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย โดยการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายในการเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าว เพื่อนำที่ดินมาเป็นของรัฐต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'บุรีรัมย์'จัดใหญ่ใส่เต็ม 3บิ๊กอีเว้นต์กีฬาระดับโลก 'มาราธอน-โมโตจีพี-รอบเทสต์'ฤดู2026
การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) พร้อมด้วยภาคเอกชน ผนึกกำลังจัดการประชุมเตรียมความพร้อมมหกรรมกีฬาสุดยิ่งใหญ่ประจำปี 2569 ได้แก่ “บุรีรัมย์ มาราธอน 2026” ฉลองครบรอบ 10 ปี และรุกหนักแผนรับมือ “พรี-ซีซั่นเทสต์และสนามเปิดฤดูกาล” ต่อเนื่องปีที่ 2 “โมโตจีพี รายการ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ 2026” เพื่อวางรากฐานการบริหารจัดการอย่างเต็มระบบ รองรับคลื่นนักวิ่ง-แฟนความเร็วนับแสนสู่ 3 บิ๊กอีเว้นต์ระดับโลก
ร่าง 'จ่าเริง' วีรบุรุษทหารกล้า เนิน 350 ปราสาทตาควาย ถึงบ้านเกิดบุรีรัมย์
ครอบครัว ญาติพี่น้องรับร่าง จ.ส.อ.สำเริง คลังประโคน วีรบุรุษทหารกล้า เนิน 350 ปราสาทตาควาย กลับสู่บ้านเกิด ในหลวง–พระราชินี พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ เตรียมพระราชทานเพลิงศพ 24 ธ.ค.นี้ ณ วัด ห้วยปอ ต.ปังกู อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ แม่เผย สุดเศร้าหลังจากนี้จะไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกแล้ว หากชาติหน้ามีจริงขอให้เกิดเป็นลูกแม่อีก
ร่าง 'จ่าเริง' ถึงมาตุภูมิพรุ่งนี้ ภรรยาเผยนำศพลงมาไม่ได้ เพราะสามีสัญญาไว้ต้องยึดเนิน 350 ให้ได้ก่อน
แม่จ่าเริง ทหารพลีชีพเนิน 350 ภูมิใจทหารทุกนายที่ทำสำเร็จได้เนิน 350 คนมา ขอให้รบชนะแบบเบ็ดเสร็จโดยเร็ง และให้ประเทศไทยมีแต่ความสงบสุขหลังจากนี้ ผู้ว่าฯเผยการเตรียมจัดงานพร้อมทุกอย่างแล้ว ร่างมาถึงพรุ่งนี้
ครอบครัว 'จ่าเริง' ทหารกล้า ทำใจแล้วนำร่างกลับยาก ติดบนเนิน 350 นาน 4 วันแล้ว
แม่และพี่สาวจ่าเริง นักรบพลีชีพรับสภาพได้แล้วว่าการนำร่างกลับมายากลำบากเพราะอยู่ในสนามรบ ระบุจ่าเริงคงอยากให้ทางบ้านทำใจได้ก่อนจึงจะกลับมา ตอนนี้ภูมิใจที่คนทั้งประเทศแห่ให้กำลังใจ ร่างจะมาตอนไหนขึ้นอยู่กับโอกาส เห็นใจเจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนัก
เสียงปืนเขมรเบาลงครั้งแรกในช่วง 12 วันสู้รบ พบลูกจรวดเกลื่อนไร่ยางพารา
เสียงปืนฝั่งเขมรหยุดลงครั้งแรกในรอบ 12 วัน จนท.เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบลูกจรวดปืนใหญ่ตกใส่ไร่ยางพาราเป็นจำนวนมาก มีทั้งแตกและไม่แตก ระบุเขมรหันกระบอกปืนมาทางพลเรือนของไทย
ไฟแนนซ์โทรทวงค่างวดผู้อพยพ-ชรบ.ชายแดน ต้องหายืมเงินไปจ่าย โอดสู้รบยืดเยื้อ
การสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 12 แล้ว และยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าการสู้รบจะจบลงวันไหน ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

