
‘สรรพสามิต’ โชว์ผลงานจัดเก็บรายได้ 11 เดือน ปีงบ 68 พุ่ง 4.89 แสนล้านบาท โต 1.6% ลุยเพิ่มประสิทธิภาพ มั่นใจสิ้นปีผลงานฉลุยตามเป้าหมาย 5.35 แสนล้านบาท ดีเดย์ปีงบ 69 เดินเครื่องรีดภาษีรถยนต์โบราณนำเข้า ขีดเส้นอายุ 30 ปีอัป หนุนผลงานโต 1-2 พันล้านบาท แจงถกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จดทะเบียนแบบพิเศษ ปลดล็อกวิ่งได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์-หยุดนักขัตฤกษ์
22 ก.ย. 2568 – นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.67-ส.ค.68) ว่า กรมฯ สามารถจัดเก็บรายได้ อยู่ที่ 4.89 แสนล้านบาท เติบโต 1.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นระดับที่น่าพอใจ และมั่นใจว่าการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2568 จะเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่ 5.35 แสนล้านบาท ขยายตัว 2.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปีงบ 2569 ตามเอกสารงบประมาณ อยู่ที่ 6.09 แสนล้านบาท ขณะที่ยังมีความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่แม้จะดีขึ้น ชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งยังมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แต่เชื่อมั่นว่าเมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามาจะมีกลไก ทั้งการเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ ก็น่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น และช่วยให้กำลังซื้อของผู้บริโภคแข็งแรงมากขึ้น จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ก็จะส่งผลดีกับการดำเนินงานของกรมฯ ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากการขยายระยะเวลาการลดอัตรภาษีสถานบริการเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว จาก 10% เหลือ 5% จากเดิมสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 2567 โดยขยายต่อเนื่องไปจนถึง 31 ธ.ค. 2568 ส่งผลให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบสรรพสามิตมากขึ้น ทำให้สามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีสถานบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 2568 จัดเก็บรายได้แล้ว 199.73 ล้านบาท จากก่อนการลดอัตราภาษีในปี 2566 จัดเก็บรายได้ในส่วนนี้อยู่ที่ 138.77 ล้านบาท รวมถึงการปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันเพื่อเสถียรภาพทางการคลัง โดยปรับขึ้นภาษีกลุ่มน้ำมันเบนซินและกลุ่มน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร แต่ไม่ให้กระทบต่อราคาขายปลีก จากการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน ส่งผลให้กรมฯ สามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น 2.8 พันล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ จะมีภาษีใหม่ที่เตรียมจะดำเนินการในปีงบประมาณ 2569 คือ การกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์โบราณ โดยจัดเก็บภาษีในอัตรา 45% เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงรถยนต์โบราณในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมบูรณะรถยนต์โบราณ (Restoration) ในประเทศ และเป็นการขยายฐานรายได้ใหม่ด้วย โดยเบื้องต้นประเมินว่าจะทำให้กรมฯ สามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 1-2 พันล้านบาท โดยภาษีดังกล่าวนี้จะใช้กับรถยนต์โบราณที่นำเข้าเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นจะมีหลักเกณฑ์คือ ต้องเป็นรถยนต์โบราณที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป และอาจจะมีการพิจารณาประกาศเป็นรุ่น หรือแบบ และราคาอ้างอิงจากข้อมูลของต่างประเทศด้วย
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นต่อเนื่อง คือ รถโบราณที่นำเข้ามานั้นจะต้องมีการจดทะเบียนแบบพิเศษแตกต่างจากทะเบียนรถที่ใช้วิ่งทั่วไปในปัจจุบัน และยังมีเงื่อนไขที่ได้หารือร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยรถยนต์โบราณดังกล่าวจะวิ่งได้เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น แต่อาจจะมีข้อยกเว้นที่ต้องขออนุญาตจาก สตช. เช่น กรณีหากมีการจัด Event และต้องนำรถยนต์โบราณนี้ไปจัดแสดงก็จะต้องมีการขออนุญาตขับเป็นกรณีเฉพาะ ซึ่งในส่วนนี้จะมีประกาศออกมาในภายหลัง
“ภาษีรถยนต์โบราณนี้ จะใช้เฉพาะกับรถยนต์โบราณนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งก็จะมีเงื่อนไขกำกับ เช่น อายุรถต้อง 30 ปีขึ้นไป เป็นต้น ตรงนี้ไม่รวมรถจักรยานยนต์โบราณ ส่วนรถยนต์โบราณที่อยู่ในประเทศอยู่แล้วจะไม่เกี่ยวข้อง ส่วนรถโบราณที่มีการสวมทะเบียนก็ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามตามกฎหมาย” นางสาวกุลยา กล่าว
ขณะที่มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (มาตรการ EV3) และมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ระยะที่ 2 (มาตรการ EV3.5) นั้น นางสาวกุลยา ระบุว่า ตั้งแต่เริ่มมาตรการเมื่อเดือน มี.ค. 2565 จนถึง ส.ค. 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมแล้ว 2.33 แสนคัน ซึ่งกรมฯ ได้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยแล้ว 7.55 หมื่นคัน คิดเป็นวงเงิน 1.12 หมื่นล้านบาท และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสะสม 7.16 หมื่นคัน
นอกจากนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างการเสนอแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต จากปัจจุบันที่มีการจัดเก็บภาษีแบตเตอรี่เท่ากันทุกประเภทที่ 8% โดยหลังจากนี้อาจจะต้องมีพิจารณาว่าหากเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (แบตเตอรี่ปฐมภูมิ) อาจจะต้องเสียภาษีในอัตราภาษีที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งต้องไปพิจารณาในรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ทั้งความสามารถ และประสิทธิภาพในการชาร์จ เช่น ชาร์จแล้วอยู่ได้นาน มีความจุเยอะ มีน้ำหนักเบา เป็นต้น ทั้งหมดต้องนำมาพิจารณาในการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ให้มีอัตราแตกต่างกัน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการมีการผลิตแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
สำหรับการจัดเก็บภาษีจากความหวานนั้น ขณะนี้อยู่ในระยะที่ 4 ซึ่งจะต้องมีการพจิารณาในรายละเอียดเรื่องการใช้ส่วนประกอบจากน้ำตาลที่เพิ่มมากขึ้นว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร และต้องไปพิจารณาว่ามีส่วนไหนที่ยังไม่เป็นธรรมและกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคที่จะต้องหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะต้องยอมรับว่าการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ มาจากการคำนึงถึงสุขภาพของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาก็ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งในส่วนของผู้ปรีะกอบการและผู้บริโภค โดยหันมาให้ความสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ส่วนภาษีความเค็มนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพอสมควร คาดว่ากระบวนการยังไม่สามารถสรุปได้ภายในปีนี้อย่างไรก็ดี ในส่วนของการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่นั้น อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาในรายละเอียด ซึ่งต้องใช้ความรอบคอบเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยยอมรับว่าในหลายประเทศจะมีการจัดเก็บภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียว (SingleTire) ขณะที่ไทยจัดเก็บแบบ 2 อัตรา ซึ่งการศึกษาหรือพจิารณาจะต้องมองให้รอบด้านว่าจะดำเนินการไปในทิศทางใด โดยต้องคำนึงถึงรายได้ การลักลอบนำเข้าบุหรี่ผิดกฎหมาย มิติของผู้ประกอบการ และสุขภาพของผู้บริโภคด้วย
“ที่ผ่านมามีคำถามตลอดว่าไทยจะเดินเรื่องนี้ไปในทิศทางไหน เพราะในหลายประเทศมีการจัดเก็บภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียว แต่ในไทยมีปัจจัยที่จะต้องพิจารณาค่อนข้างมาก และเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุด ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าให้ใช้เรื่องอัตราภาษีมาแก้ไขปัญหาเรื่องการลักลอบนำเข้าบุหรี่ผิดกฎหมายนั้น มองว่า ไม่ควรใช้กลไกภาษีเข้ามาเพื่อให้มีการแข่งขันด้านราคากับบุหรี่เถื่อน เพราะต้องเข้าใจว่าบุหรี่เถื่อนไม่ได้เสียภาษีอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้กลไกภาษีเข้ามาจัดการจึงไม่ได้การันตีว่าจะทำให้การจัดเก็บรายได้มากขึ้น แต่กรมฯ ใช้วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปราบการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีทุกชนิด ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยทำให้การลักลอบลดลงอย่างแน่นอน” นางสาวกุลยา กล่าว


