'วรภัค' แนะปฏิรูปโครงสร้างภาษี-ชงขึ้นVAT แก้ปมการคลังไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างหนัก

‘วรภัค’ กางโจทย์ใหญ่รัฐบาลใหม่ หลัง ‘ภาคการคลังไทย’ กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างหนัก ชู 3 แนวทางปรับสมดุลครบวงจร แนะปฏิรูปโครงสร้างภาษี ชงขึ้น VAT อย่างเหมาะสม พร้อมหนุนกลับเข้าสู่กรอบขาดดุลงบประมาณ 3% ของจีดีพี

24 ก.ย. 2568 – นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.การคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ‘Vorapak Tanyawong’ เกี่ยวกับฐานะการคลังของไทยหลังโควิด-19 : Baseline ที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลใหม่ โดยมีข้อความระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์การคลังและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หลังวิกฤติโควิด-19 ทำให้โครงสร้างหนี้ รายได้ และรายจ่ายภาครัฐเปราะบางอย่างยิ่ง ภาพรวมความเสี่ยงทางการคลังถูกประเมินสูงถึง 7.6 จาก 10 (ก่อนโควิดเพียง 4.3) ซึ่งหมายถึง ‘พื้นที่หายใจ’ ของรัฐบาลใหม่มีอยู่อย่างจำกัด

1. หนี้สาธารณะ : แรงกดดันที่เข้าใกล้เพดาน โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะจะขึ้นแตะ 65% ต่อจีดีพี ในปี 2568 และภาระดอกเบี้ยอาจเกิน 10% ของรายได้รัฐบาล แม้ยังไม่ทะลุเพดาน 70% แต่กำลังใกล้ ‘กันชนสุดท้าย’ ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินไว้ที่ 77-78% ดังนั้นหากเศรษฐกิจชะลอตัว พร้อมกับดอกเบี้ยโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้อาจทะลุกรอบเร็วกว่าคาด และถูกตลาดการเงินลดความเชื่อมั่น

2. รายได้รัฐบาล : โครงสร้างจัดเก็บอ่อนแรง โดยสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อจีดีพี ต่ำกว่ามาตรฐานโลก 3% จุดอ่อนสำคัญ คือ แรงงานนอกระบบมากกว่า 50%, ไม่มี Capital Gain Tax (ซึ่งคงยังไม่มีนโยบายจัดเก็บภาษีเรื่องนี้ในระยะเวลาอันใกล้), ภาษีทรัพย์สินและมรดกต่ำ, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ยังคงต่ำที่ 7% (ในขณะที่ประะเทศรอบบ้านของไทยอยู่ที่ 12 ถึง 15% กันทั้งนั้น) และภาษีสิ่งแวดล้อมยังไม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันรายได้จากพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติลดลง ดังนั้นหากไม่สามารถปฏิรูปภาษีได้จริง รายได้ต่อจีดีพีจะไม่ขยับ เสถียรภาพหนี้อาจจะทรุดลงเรื่อย ๆ

3. รายได้ภาครัฐ : ภาระที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายบุคคลากรและบำนาญเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะ OPD พุ่งไม่หยุด รวมถึงกองทุนชราภาพเสี่ยงไม่ยั่งยืน และแรงงานนอกระบบไร้หลักประกันเกษียณ ซึ่งหากการใช้ Escape Clause ถูกบิดเบือนเพื่อเพิ่ม ‘รายจ่ายลงทุนเทียม’ จะทำให้ฐานะการคลังเสื่อมเร็ว และ 4. โครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม : กับดักเชิงโครงสร้าง โดยสังคมผู้สูงอายุที่สูงขึ้น ขณะที่รายได้ภาษีหด รายจ่ายบำนาญและสุขภาพพุ่ง, หนี้ครัวเรือนสูง 90% ต่อจีดีพี ทำให้การบริโภคชะลอตัว และ VAT อ่อนแรง, แรงงานนอกระบบครึ่งประเทศทำให้ฐานภาษีแคบ, ความเหลื่อมล้ำสูง ขณะที่มีราว 1% ถือครองรายได้ 23% ทำให้การปฏิรูปภาษีเผชิญแรงต้าน และภูมิรัฐศาสตร์และพลังงาน ทำให้ราคาน้ำมันผันผวน บีบรัดการคลังจากการอุดหนุน

“ไทยติดอันดับ 9 ของโลกในดัชนีความเสี่ยง ทำให้ต้องกันงบเพื่อบรรเทาและฟื้นฟูมากขึ้น โดย Shock ภายนอก เช่น ราคาน้ำมันพุ่ง หรือภัยพิบัติรุนแรง จะกระแทกงบประมาณทันที” รมช.การคลัง ระบุ

อย่างไรก็ดี ทางออก คือ การปรับสมดุลการคลังต้อง ‘ครบวงจร’ ผ่าน 1. รายจ่าย จะต้องจำกัดการเติบโตของเงินเดือน-บำนาญ-สวัสดิการ รวมถึงปฏิรูปกองทุนเกษียณ 2. รายได้ จะต้องปฏิรูปภาษีบุคคลและทุน, ขยาย VAT อย่างเหมาะสม, จัดเก็บภาษีคาร์บอน และเพิ่มรายได้จากทรัพย์สินรัฐ และ 3. กลไกกฎหมาย จะต้องใช้ PAYGO, กำหนดนิยามรายจ่ายลงทุนให้ชัด และกลับสู่กรอบขาดดุล 3% ของจีดีพี เมื่อเศรษฐกิจฟื้น

“รัฐบาลใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจากกระดาษขาว แต่จาก baseline ที่เต็มไปด้วยแรงกดดันเชิงโครงสร้างทางการคลังทุกด้าน – หนี้ รายได้ รายจ่าย และโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม กำลังบีบให้ fiscal space ของไทยแคบลงเรื่อย ๆ หากไม่ปฏิรูปเชิงรุก ความเสี่ยงจะทวีคูณ และ downside triggers สามารถถูกจุดติดได้จากทั้งในและนอกประเทศ ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่จึงไม่ใช่แค่การเลือกใช้นโยบาย แต่คือการเลือกจะเผชิญความจริง เพราะหากเพิกเฉย Baseline วันนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพการคลังและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว” นายวรภัค กล่าว

เพิ่มเพื่อน