
‘การท่าเรือ’เร่งเครื่องพัฒนาท่าเรือระนอง ดัน ‘ศูนย์กลางโลจิสติกส์อันดามัน’ เชื่อมจีน-อินเดีย หนุนแลนด์บริดจ์เลี่ยงช่องแคบมะละกา ปักหมุดประตูการค้า BIMSTEC เอกชนชูระนองเป็น Sandbox วางโครงสร้างพื้นฐาน-เขตปลอดอากร-โรงงานอุตสาหกรรม บูมเศรษฐกิจเมืองระนอง
24 ก.ย. 2568 – นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่จังหวัดระนองเพื่อติดตามแผนพัฒนาท่าเรือระนองว่า ปัจจุบันท่าเรือแห่งนี้ถูกวางบทบาทสำคัญในฐานะ ศูนย์กลางการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport Hub) ที่เชื่อมโยงจีนตอนใต้เข้าสู่กลุ่มประเทศ BIMSTEC และมหาสมุทรอินเดีย โดยจะทำหน้าที่คู่ขนานสองบทบาทที่เกื้อหนุนกัน คือ ท่าเรือระนองปัจจุบัน ซึ่งเปรียบเสมือนท่าเรือชายฝั่งสำหรับเรือขนาดเล็กในระดับภูมิภาค และโครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ในโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะกลายเป็นประตูการค้าหลักรองรับเรือขนาดใหญ่ในเส้นทางระหว่างประเทศ
นายเกรียงไกร กล่าว่า ท่าเรือระนองปัจจุบันมีข้อจำกัดด้านร่องน้ำลึกประมาณ 8 เมตร เหมาะสำหรับเรือ Feeder ขนาดบรรทุก 50-120 ตู้คอนเทนเนอร์ (TEU) ที่เชื่อมโยงการค้ากับตลาดสำคัญอย่างย่างกุ้งและจิตตะกอง ส่วนท่าเรือแลนด์บริดจ์จะถูกออกแบบให้มีร่องน้ำลึก 18 เมตร ยื่นออกไปในทะเล เสามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 3,000–20,000 TEU โดยตรง ทำให้ไทยมีท่าเรือฝั่งอันดามันที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เลี่ยงช่องแคบมะละกาที่แออัด
“แลนด์บริดจ์จะมุ่งเน้นตลาดเรือขนาดใหญ่ที่วิ่งในเส้นทางหลักระหว่างทวีป ส่วนท่าเรือระนองจะยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการขนส่งชายฝั่งและในภูมิภาคเมื่อมีเรือขนาดใหญ่เข้ามาที่ท่าเรือแลนด์บริดจ์ จะเกิดความต้องการขนส่งต่อไปยังท่าเรือรองในภูมิภาคด้วยเรือขนาดเล็ก ซึ่งจะเพิ่มปริมาณงานและความถี่ในการเข้าเทียบท่าของท่าเรือระนองปัจจุบัน ยืนยันว่าท่าเรือทั้งสองแห่งไม่ได้แข่งขันกัน แต่จะทำงานเสริมกัน ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้ท่าเรือระนองคึกคักมากยิ่งขึ้น”นายเกรียงไกร กล่าว
สำหรับสิ่งที่ทำให้ท่าเรือระนองมีศักยภาพโดดเด่นคือโครงข่ายโลจิสติกส์ที่เชื่อมตรงจากจีนตอนใต้ โดยมีทั้งเส้นทางถนนตรงมายังระนอง และเส้นทางผสมระหว่างราง-ถนน ผ่านลาวเข้าสู่ชุมพร ก่อนถ่ายสินค้าลงรถบรรทุกมายังท่าเรือระนอง ระยะเวลาเพียง 2-3 วันเมื่อเทียบกับเส้นทางเรือที่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์ ขณะที่จากท่าเรือระนองสามารถส่งต่อสินค้าสู่ย่างกุ้งเพียง 2.5 วัน โคลัมโบ(สีลังกา) 7 วัน และเชนไน(อินเดีย) 5 วัน ซึ่งสั้นกว่ามากเมื่อเทียบกับเส้นทางเดิม จีนจึงให้ความสนใจอย่างสูงต่อโครงการแลนด์บริดจ์และท่าเรือระนอง เพราะช่วยแก้ปัญหาคอขวดการขนส่งทางเรือ และยังเชื่อมต่อโดยตรงสู่ตลาดขนาดใหญ่ในภูมิภาค BIMSTEC ที่มีประชากรรวมกว่า 1 ใน 4 ของโลก โดยเฉพาะเมียนมา บังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งล้วนเป็นตลาดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของไทย

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปัจจุบันมีการบริหารจัดการร่วมกับพันธมิตรเอกชนเพื่อรวบรวมสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกให้มีตารางเรือเดินที่แน่นอน ช่วยดึงดูดสายการเดินเรือและผู้ประกอบการมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีแผนพัฒนาระยะยาว ได้แก่ การเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟสายสะพลี–ระนอง ระยะทางราว 120 กิโลเมตร ซึ่งอาจใช้แนวเส้นทางเก่าบางส่วนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง การพัฒนาเทอร์มินัลใหม่ในรูปแบบ PPP เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับตู้คอนเทนเนอร์ถึง 100,000 TEU รวมถึงการจัดตั้งเขตปลอดอากร (Free Zone) พื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร เพื่อดึงดูดนักลงทุน ดังนั้นท่าเรือระนองเปรียบคือหัวใจของยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ไทยที่จะเชื่อมจีนตอนใต้เข้ากับอินเดียและมหาสมุทรอินเดียอย่างเต็มรูปแบบ
ด้านนายณัฐภูมิ เปาวรัตน์ อำนวยการอาวุโสฝ่ายการค้าพัฒนาธุรกิจและการลงทุน/ผู้แทนองค์กรด้านรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD กล่าวว่าภาคเอกชนมองว่าท่าเรือระนองจะเป็น Gateway Port ของฝั่งอันดามัน โดยใช้โครงสร้างปัจจุบันเป็นทำหน้าที่เตรียมเป็นพื้นที่ต้นแบบ Sandbox ทดสอบเส้นทางจริงทันที ไม่ต้องรอโครงการแลนด์บริดจ์เดินหน้า เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือกับประเทศกลุ่ม BIMSTEC รับมือความผันผวนโลกและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากประโยชน์ทางการค้า โครงการพัฒนาท่าเรือระนองยังมีมิติทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ โดยจะช่วยสร้างงานใหม่ กระตุ้นการลงทุนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การแปรรูปอาหารทะเล และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดันจังหวัดระนองที่มีศักยภาพสูงด้านอุตสาหกรรมทะเลก้าวขึ้นเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้
ขณะเดียวกัน การผลักดันโครงการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกรมศุลกากรในการอำนวยความสะดวกกฎระเบียบการนำเข้า–ส่งออก การสนับสนุนจากพาณิชย์จังหวัด ทูตพาณิชย์ BOI และผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ในอนาคต ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ยังเตรียมต่อยอดสู่การขนส่งทางอากาศ เช่น การรวบรวมสินค้าล็อตเล็กที่สุวรรณภูมิแล้วส่งต่อทางเรือผ่านระนองไปยังประเทศปลายทาง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความหลากหลายของโครงข่ายขนส่ง ทำให้โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางการค้าใหม่ แต่ยังเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคและสร้างจุดยืนใหม่ให้ไทยบนเวทีการค้าโลก

