
อดีตผู้บริหารการบินไทย แนะรัฐบาลขายหุ้นลดบทบาท แนะการเมืองอย่ากลับสู่วงจรแทรกแซง ด้าน ‘ชาย’ มั่นใจวันนี้การบินไทยไร้จุดอ่อน เดินหน้าเปลี่ยน mind set สร้างการเติบโตยั่งยืน
24 ก.ย. 2568 – นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตกรรมการการบินไทย เปิดเผยภายในงานเสวนาของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย หัวข้อ “โจทย์ใหม่ การบินไทย เดินต่ออย่างไรไม่ให้ซ้ำรอยถึงบทเรียน ว่าในอดีตการบินไทยแม้จะเป็นสายการบินหลักของประเทศที่เคยผูกขาดตลาด แต่เมื่อมีการเปิดเสรีการบินตั้งแต่ปี 2547 ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น และการบินไทยทำกำไรได้เพียงไม่กี่ปี ขณะที่หลายช่วงขาดทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2562 ที่ขาดทุนกว่าหมื่นล้านบาท ทั้งที่มีผู้โดยสารสูงถึง 80% ของที่นั่ง ซึ่งสะท้อนปัญหาโครงสร้างต้นทุนและการบริหาร
อย่างไรก็ตาม วิกฤตโควิด-19 กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อรัฐบาลตัดสินใจให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายล้มละลาย ส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ และสามารถพลิกฟื้นจากการเป็นสายการบินที่ขาดทุนหนักที่สุดในโลก กลับมาทำกำไรสูงสุดติดต่อกัน 2 ปี ถือเป็นกรณีศึกษาในระดับโลก มองว่า สิ่งที่ทำให้การบินไทยฟื้นตัวได้ เพราะไม่ต้องอยู่ในสถานะรัฐวิสาหกิจที่ถูกพันธนาการด้วยกฎระเบียบและการแทรกแซงทางการเมือง พร้อมเสนอแนะว่า รัฐบาลควรขายหุ้นการบินไทยออกทั้งหมด เพื่อลดบทบาทการบริหารและส่งสัญญาณให้เห็นว่า หากรัฐวิสาหกิจได้รับการปรับตัวที่เหมาะสมก็สามารถแข่งขันได้เอง อีกทั้งยังช่วยลดภาระหนี้สาธารณะของประเทศ
ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเป็นห่วงต่อการแทรกแซงทางการเมืองที่อาจหวนกลับมาอีกครั้ง แม้การบินไทยจะไม่กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายแล้ว แต่หากมีการแต่งตั้งกรรมการที่ขาดคุณสมบัติและไม่เข้าใจธุรกิจ ก็จะกลายเป็นการทำงานในรูปแบบรัฐวิสาหกิจเช่นเดิม และอาจเปิดช่องให้การทุจริตเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม เขาย้ำว่าปัจจุบันผู้บริหารที่ขับเคลื่อนการบินไทยมาจากทีมฟื้นฟูที่มีความรู้ความสามารถและรักองค์กรอย่างแท้จริง จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องใจกว้างในการคัดเลือกกรรมการใหม่ โดยเน้นที่คุณสมบัติ ความสามารถ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมืองหรือผลประโยชน์ส่วนตน
ขณะที่นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)ยืนยันว่า ปัจจุบันการบินไทยแทบไม่มีจุดอ่อนแล้ว เนื่องจากได้ปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ โดยใช้จุดแข็งด้านภูมิศาสตร์และเครือข่ายเส้นทางบินมาสร้างมูลค่าเพิ่ม จากเดิมที่เน้นการขายตั๋วแบบ point to point เพียง 6% ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 22% สามารถดึงผู้โดยสารจากสายการบินอื่นเข้ามาเปลี่ยนเครื่องในประเทศไทย ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาส 2 และ 3 ซึ่งเคยขาดทุนตลอดหลายปี กลับมามีกำไรต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การบินไทยยังเร่งปรับปรุงฝูงบิน โดยมีการจัดหาเครื่องบินใหม่ทั้งแอร์บัส 321neo และเครื่องบินลำตัวกว้างที่จะทยอยเข้ามาในอีก 2 ปีข้างหน้า พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรและ core value 3 ประการ ได้แก่ agility (ความคล่องตัวและตัดสินใจรวดเร็ว), integrity (ความซื่อสัตย์โปร่งใส) และ mastering of customer (การใส่ใจลูกค้าอย่างมืออาชีพ) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการยืนหยัดในธุรกิจการบินที่แข่งขันดุเดือด
สำหรับการเสวนาครั้งนี้สะท้อนภาพรวมว่า การบินไทยที่ฟื้นตัวขึ้นมาได้ เกิดจากการเปลี่ยนโครงสร้างและการบริหารอย่างจริงจัง แต่ความท้าทายสำคัญคือการป้องกันไม่ให้การเมืองล้วงลูก กลับมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันภาคการเมืองและรัฐบาลก็ถูกจับตาว่าจะตัดสินใจลดบทบาทในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อเปิดทางให้สายการบินแห่งชาติสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนหรือไม่


