‘พิพัฒน์’ลั่น4เดือนทำเต็มที่ลุยลดค่าครองชีพประชาชน

‘พิพัฒน์’เร่งขับเคลื่อนโครงการคมนาคม ย้ำแม้มีเวลา 4 เดือน พร้อมทำเต็มที่ เตรียมลดค่าครองชีพการเดินทางประชาชน ดัน‘ตั๋วร่วม’ นโยบายเรือธง เร่งจัดหารถเมล์ EV  เดินหน้าเร่งรัดโครงการก่อสร้างกระตุ้นเศรษฐกิจ ปักหมุดส่งข้อสรุปให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา 15 พ.ย.

 

 1 ต.ค.2568-นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายและทิศทางการทำงานของกระทรวงคมนาคม ภายใต้นโยบายรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่าในส่วนของมาตรการที่จะลดค่าครองชีพให้ประชาชนว่า เบื้องต้น ครม.ได้มีมติให้คงมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอด ในสายสีม่วง และ สีแดง ออกไปสิ้นสุด 30 พ.ย.2568 ได้มอบหมายให้ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง ประชุมหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า การลดค่าครองชีพในการเดินทางของประชาชน

ทั้งนี้เบื้องต้นภายใน 15 พ.ย.นี้ จะต้องนำเสนอเรื่อง20 บาทตลอดสายว่าผลกระทบเป็นอย่างไรบ้างควรทำต่อ หรือพอแค่นี้ และภายใน 4 เดือนจะต้องได้ข้อสรุปทั้ง ในรูปแบบ ทั้งระบบราง รถเมล์ และฟีดเดอร์ ที่ให้บริการประชาชน ส่วนตั๋วร่วม ทำแน่แต่ขอให้วิธีการเชื่อมต่อ ร่วมระบบให้มีความเหมาะสม

สำหรับให้นโยบายในเรื่องของการจัดหารถรถโดยสารปรับอากาศไฟฟ้า(EV) จำนวนกว่า 1,520 คัน เพื่อมาทดแทนรถเมล์ร้อนที่มีอยู่ในระบบกว่า 2,800 คัน ให้มีการส่งมอบภายใน 180 วันหลังจากที่มีการจัดหาและได้เอกชนที่จะมาดำเนินงาน ขณะเดียวกันให้ไปศึกษาว่ารถเมล์ร้อนที่ใช้งานในปัจจุบน ที่มีอายุกว่า 20 ปี ทางองค์การขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(ขสมก.) จะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร  พร้อมทั้งได้วางระบบการบริหารจัดการเดินรถใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ และนักเรียน ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงค่าโดยสาร

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของ ระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) ถือเป็นนโยบายเรือธงที่ต้องเห็นความคืบหน้าเป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือน โดยมุ่งพัฒนาให้ประชาชนใช้บัตรเพียงใบเดียวสามารถเดินทางได้ทั้งรถไฟฟ้าและรถโดยสารประจำทางทุกระบบ แม้จะเป็นประเด็นซับซ้อนที่ต้องเจรจากับผู้ประกอบการทุกรายเพื่อให้ได้ข้อสรุป

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้านั้นถือเป็นแนวทางหนึ่งในการดำเนินการลดมาตรการ โดยจะมีการเจรจากระทรวงการคลัง ว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ จะกระทบกับฐานะทางการเงินคงคลังหรือไม่ ซึ่งหากซื้อคืนสัมปทาน แนวทางก็ให้เอกชนเข้ามาเช่าโครงการ และไปบริหารจัดการเดินรถ

อย่างไรก็ตามในส่วนของการก่อสร้างในถนนพระราม 2 นั้น ยืนยันว่าไม่สามารถปิดตำนานถนนพระราม 2 ให้ก่อสร้างแล้วเสร็จตลอดทั้งโครงการได้ภายในสิ้นปี 2568 นี้ แต่ได้สั่งการให้กรมทางหลวง(ทล.)เร่งดำเนินการให้สามารถเปิดใช้ถนนพระราม 2 ได้ก่อน 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 ทางต่างระดับบางขุนเทียน–เอกชัย เป็นระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ภายในเดินต.ค. 2568 และ ระยะที่ 2 เอกชัย ไปถึงบ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กิโลเมตร ทั้งนี้จะเร่งเปิดใช้บริการทั้งสิ้นให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ ปี 2569

ด้านนายนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมถึงกรอบนโยบายสำคัญของกระทรวงคมนาคมภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งมอบหมายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดต้องสร้าง ผลงานที่จับต้องได้ภายใน 4 เดือน”โดยนโยบายดังกล่าวถูกกำหนดเป็น 3 เสาหลัก ได้แก่ การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประชาชน การผลักดันโครงการเร่งด่วน (Quick Win) และการวางรากฐานระบบคมนาคมเพื่ออนาคต

ทั้งนี้ในส่วนของ นโยบายเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชน กระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ให้มากที่สุดภายใน 4 เดือน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก พร้อมเพิ่มมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดทั้งในโครงการก่อสร้างและระบบขนส่งที่เปิดให้บริการ รวมถึงการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง โดยเฉพาะค่าโดยสารและค่าผ่านทางที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก

อย่างไรก็ตามด้าน โครงการ Quick Win จะเน้นเร่งรัดโครงการที่พร้อมเปิดบริการ อาทิ ทางยกระดับถนนพระราม 2 บางส่วนที่จะเปิดเดือนตุลาคม 2567 มอเตอร์เวย์ M6 (บางปะอิน–นครราชสีมา) ที่ตั้งเป้าเปิดให้บริการเส้นทางช่วงปีใหม่ 2568 แม้บางช่วงจะยังไม่สมบูรณ์ มอเตอร์เวย์ M81 (บางใหญ่–กาญจนบุรี) ที่จะเปิดให้บริการทุกวันภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 จังหวัดบึงกาฬ ที่เตรียมเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม และการเร่งเดินหน้าเปิดบริการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ให้ครบทุกเส้นทาง

สำหรับโครงการที่มีความพร้อมเร่งประกวดราคา เช่น มอเตอร์เวย์ M5, M9, ส่วนต่อขยายถนนบรมราชชนนี, โครงการแก้ปัญหาจราจรภูเก็ต รวมถึงโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตาและสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา จะถูกผลักดันให้คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนโครงการใหญ่ที่พร้อมเสนอคณะรัฐมนตรี อาทิ มอเตอร์เวย์ M8, M9 บางบัวทอง–บางปะอิน, ทางพิเศษฉลองรัช–วงแหวนตะวันออก, รถไฟทางคู่ระยะที่ 2 และการขยายสนามบินหลัก–สนามบินภูมิภาค จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาโดยเร็ว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“พิพัฒน์” นำทีมวางแผนฟื้นฟู–พัฒนาภาคใต้ทั้งระบบ ฟื้นเศรษฐกิจ–ดูแลคุณภาพชีวิต ชูท่องเที่ยวปลอดภัย–ฮาลาล 3 จชต. และสร้างงานระยะยาวให้คนในพื้นที่

วันที่ 4 ธันวาคม 2568 – นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประจำภาคใต้ และคณะอนุกรรมการประจำภาคใต้ชายแดน เป็นประธานการประชุมเพื่อกลั่นกรองแผนพัฒนาจังหวัด–กลุ่มจังหวัด