'บางจาก' ทะยานหาโอกาสใหม่อย่างยั่งยืน วางเป้าEBITDAเพิ่มขึ้น100% ภายในปี2571

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ความผันผวนของหลากหลายองค์ประกอบที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนของประชากร ‘พลังงานทางเลือกใหม่’ กลายเป็นความหวังและทิศทางที่หลายผู้ประกอบการกำลังมุ่งไป แนวคิดที่ล้ำสมัยอย่าง e-Fuels หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (Electrofuels) ได้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ และกำลังได้รับความสนใจอย่างมากทั่วโลกเนื่องจาก e-Fuels คือเชื้อเพลิงเหลวที่ผลิตขึ้นจากไฮโดรเจนสะอาดและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยการอาศัยไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน โดยกระบวนการดังกล่าว สามารถเปลี่ยนคาร์บอนที่ถูกดักจับจากปล่องโรงงาน หรืออากาศ ให้กลายเป็นน้ำมันดิบสังเคราะห์ เพื่อนำไปกลั่นเป็น e-Gasoline, e-Diesel และ e-SAF (Sustainable Aviation Fuel) ที่ใช้ได้กับเครื่องยนต์สันดาปภายในและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม

อย่างในประเทศญี่ปุ่น บริษัท ENEOS ที่ถือเป็นอันดับหนึ่งในด้านปิโตรเลียมของประเทศ จากส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 50% ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการลงทุนด้านนี้ ตั้งแต่กระบวนการสำรวจ ถึงสร้างโรงงานที่เริ่มผลิตได้จริง จนมั่นใจในกระบวนการ FT Synthesis โดยคำนึงถึงทั้งการจัดหาวัตถุดิบที่พยายามทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน ปัจจุบันนี้มีกำลังการผลิตราว 1 บาร์เรลต่อวัน และเริ่มมีการเริ่มทดลองใช้แล้วกับรถบัสรับส่งคนที่งาน Osaka World Expo 2025

นอกจากนั้น ENEOS Corporation ยังมีแผนการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง วางโรดแมปไปจนถึงปี 2050 ด้วยความหวังว่าจะถึงจุดที่จะทําให้ราคาพอกันกับน้ำมันเชื้อเพลิงปกติได้ ในช่วงปี 2040 แม้พลังงานสะอาดที่ใช้จากโซลาร์เซลล์และพลังงานลมจากการผลิตในประเทศจะมีราคาถูก แต่ต้นทุนการผลิต e-Fuels ขณะนี้ยังอยู่ที่ประมาณ 700 เยนต่อ 1 ลิตร ซึ่งมีระยะวิ่งเท่ากับเชื้อเพลิงทั่วไปแล้ว พร้อมกับตั้งเป้าไว้ว่า จะสามารถใช้เชื้อเพลิง e-Fuels สำหรับรถยนต์ที่ใช้ทั่วญี่ปุ่น รวมถึงรถเมล์ได้ ขณะการแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าโซลาร์ก็ไม่มองว่าเป็นการแข่งขันกัน แต่เป็นแค่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก เพราะเห็นว่า อย่างไรก็ไม่มีทางที่รถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่นาน ต้องมีการใช้เชื้อเพลิงอยู่ดี

แม้ขณะนี้โลกกำลังพยายามเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า แต่ในการเดินทางสัญจรทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ยังคงต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงเหลวที่มีความหนาแน่น พลังงานสูง และจัดเก็บได้สะดวก จึงทำให้ e-Fuels กลายเป็นทางเลือกที่ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอน โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งระบบ แต่จะยังมีความท้าทายเรื่องต้นทุนการผลิต และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงเรื่องกฎระเบียบ การให้การสนับสนุน เพิ่มแรงจูงใจ

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP มองถึงเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ที่แม้จะมีหลายคนบอกว่าไฮโดรเจนคือคำตอบ แต่นั่นอาจทำให้ต้องมีการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ขณะที่ e-Fuels นั้น แค่เปลี่ยนวิธีการผลิต ซึ่งหากสามารถทำให้เกิดการแข่งขันได้จริง เราจะได้เชื้อเพลิงเหลวที่มีคุณสมบัติเหมือนกับน้ำมันที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และสามารถใช้แทนกันได้ปกติ

“ถ้าสุดท้ายทำแล้วราคาแข่งขันได้ ก็น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย ณ วันนี้ e-Fuels เป็นน้ำมันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริงๆ เแต่ราคาในตอนนี้ยังค่อนข้างแพง สูงว่า 8-9 เท่าของราคาน้ำมันปกติ การที่ได้มาเห็นกับตาตอนนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะก่อนหน้านี้ 2 ปีที่แล้วยังคงเป็นแค่เทคโนโลยี” นายชัยวัฒน์กล่าว

ดังนั้น แนวคิดการลงทุนในเทคโนโลยีต่อจากนี้ของบางจาก ได้มีการทำ CVC (Corporate Venture Capital) อยู่แล้ว ปีนี้เองก็สำรองไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นการเรียนลัด เพราะอย่างน้อยบางจากก็ไม่ต้องลงตั้งแต่แรกตั้งแต่ศูนย์ เพราะเป็นการเข้าไปในระดับ 3-4 เพื่อช่วยขยายแบบสเกลอัป อย่างไรก็ดีเราก็ยังหวังจะได้ผลกำไรตอบแทนกลับมาด้วย เพื่อนำไปต่อยอดกับส่วนอื่นๆ ต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า บริษัทอาจจะมีการเสนอขอทุนจากหน่วยงานอื่นเพิ่มเติมอีก

สำหรับสิ่งที่น่ากังวล ต้องยอมรับว่าคือเรื่องต้นทุนที่สูง โดยเฉพาะค่าไฟภายในประเทศไทย ซึ่งต้องใช้เยอะในการแยกโมเลกุล จึงอาจจะต้องติดตั้งในพื้นที่ที่เหมาะสม อย่างในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรม นิคมต่างๆ หรือในประเทศอื่นที่มีพลังงานสะอาดเกินกว่าจำนวนที่ใช้ภายในประเทศนั้นๆ ทำให้การจะเริ่มทำในประเทศไทย ยังต้องรอดูโอกาสอีกที ถ้าจะทำให้เกิดขึ้นได้ก่อน ก็ยังมองว่าเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือ Biofuel ซึ่งนำชีวมวล และเทคโนโลยีผลิตเอทานอลจากไม้และเศษกระดาษเก่า รวมถึงวัตถุดิบจากธรรมชาติต่างๆ น่าจะเป็นจริงได้เร็วกว่า

นายชัยวัฒน์ ย้ำว่า บางจากยังคงศึกษาเรื่องไฮโดรเจนอยู่เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากมีสถานะแก๊สจึงทำให้การขนส่งทำได้ค่อนข้างยาก จึงใช้รูปแบบแอมโมเนียแทน ซึ่งมีการพูดคุยกันว่า สุดท้ายโลกนี้ไม่มีใครทำอะไรคนเดียว คงมีการร่วมทุน หรือเกี่ยวก้อยร่วมมือกับองค์กรอื่น

ส่วนเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) นั้น นายชัยวัฒน์มองว่าไม่น่ากังวลสำหรับธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันมากนัก เพราะทุกอย่างมีวัตถุประสงค์เฉพาะของมันเอง รถแต่ละประเภทก็ใช้คนละแบบ

“ผมเปรียบเทียบเสมอว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นคำตอบเดียว เรื่องเชื้อเพลิงก็เช่นกัน น้ำมันในรถต่างๆ ยังใช้ไม่เหมือนกันเลย ฉะนั้นแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่คำตอบเดียว อาจจะมีช่วงจังหวะหรือการแบ่งกลุ่มของเขาอยู่ ทางออกแต่ละอันก็มีคำตอบที่แตกต่างกันไป บางจากเองก็ไม่ได้ถอยเรื่อง EV เรามีบริการสถานีชาร์จ และจะขยายเพิ่มอีก”

อย่างไรก็ตาม เพื่อทำให้เดินเข้าเป้าของแผนการเติบโตตามกลยุทธ์ ‘Accelerating Bangchak 100x: Pivoting toward Energy Security and Sustainability’ ให้ก้าวกระโดด มี EBITDA เพิ่มขึ้น 100% ภายในปี 2571 ของบางจากนั้นมีหลายสิ่งที่ทำให้สามารถเกิดการขับเคลื่อนได้จริง เช่น การนำสิ่งที่เกี่ยวข้องกันมาอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน ทั้งโรงกลั่น การตลาด และเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อให้ได้ปรับปรุงกระบวนการทำงานพอสมควร ส่วนสิ่งที่จะช่วยให้กำไรสุทธิดีขึ้นคือ ธุรกิจ Trading ที่จะมุ่งเน้นไปที่พลังอื่นอีก นอกเหนือจากน้ำมันดิบ โดยยืนยันว่าทุกสิ่งที่ทำเราทำเพื่อผู้ถือหุ้นทุกคน

ขณะที่ การขยายเครือข่ายการตลาด ควบคู่กับการผลักดันธุรกิจ Non-Oil ให้เติบโตนั้น บางจากก็มีตัวอย่าง Inthanin Coffee ที่มุ่งจับเทรนด์ตามทันการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค มีการนำเข้าชาเขียวจากแหล่งที่มา โดยบริษัท Yamama Masudaen ที่มีประวัติทำไร่ชามากว่า 150 ปี ส่งต่อกันมาถึงรุ่นที่ 5 แล้ว และถือเป็น 1 ใน 3 รายที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ใช้การผลิตแบบบูรณาการ จัดการทุกอย่างภายใน ตั้งแต่การปลูกชาไปจนถึงการผลิตและจําหน่าย รับประกันคุณภาพได้จาก The Emperor’s Cup หรือ รางวัลไร่ชาจักรพรรดิ ที่มีอยู่เพียง 5 แห่งเท่านั้น โดยบางจากได้สั่งให้คัดเฉพาะมัทฉะเกรดพรีเมียมเข้ามา

นางสาวณิภาภรณ์ จักรพิทักษ์ ผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่อินทนิลก้าวเข้าสู่ตลาดของชาเขียวมัทฉะ ที่เป็นเทรนด์มาแรงของคนรักสุขภาพในยุคปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นการสรรหาชาเขียวคุณภาพดีที่สุดให้กับผู้บริโภค โดยเราได้จัดสรรต้นทุน ที่ไม่เน้นตั้งราคา เพื่อกำไรที่สูง แต่มุ่งหวังให้เป็นเครื่องดื่มที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทุกวัน หรือเรียกว่าเป็นการทำกำไรให้ธุรกิจสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน

แม้จะมีการแข่งขันในตลาดมัทฉะที่ดุเดือดขึ้น เราก็ไม่ได้กังวล เพราะมีความมั่นใจในคุณภาพ และราคาที่เข้าถึงได้ทุกวัน ซึ่งยอดขายในปัจจุบันนั้นประมาณ 100 แก้วต่อวันต่อสาขา จึงตั้งใจจะดับเบิลคัพเป็น 200 แก้วต่อวันต่อสาขา แม้เมนูอเมริกาโนที่ขายดีที่สุด เพราะทำจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้า 100% แต่มีแนวโน้วว่า มัทฉะกำลังจะแซงในอีกไม่ช้า เพราะเห็นการเติบโตชัดเจน และตอนนี้ก็มีการเตรียมตุนวัตถุดิบเผื่อไว้สำหรับปีหน้าแล้ว ส่วนเมนูโกโก้ก็ยังคงมียอดขายที่ดีไม่แพ้กัน ถึงต้นทุนสูง แต่เรายินดีจะขายราคานี้ จึงตั้งเป้าว่าจะสามารถทำยอดขายรวมของทุกผลิตภัณฑ์ จากเดิม 30 ล้านแก้ว เป็น 60 ล้านแก้วได้ภายใน 3 ปี

สอดรับกับการเพิ่มสาขาของกาแฟอินทนิล ที่ในปีนี้มีอยู่ 1,100 สาขา จะตั้งเป้าไว้ให้ถึง 1,300 สาขาภายในสิ้นปี 2568 ต่อเนื่องไป 1,500 สาขา ภายในปี 2569 ย้ำว่า เราไม่ได้ขยายสาขาแบบวิ่ง เพราะอยากให้สาขาของเรามีคุณภาพ นอกจากนั้นเรายังได้ช่วยเกษตรกร ด้วยการนำทั้งน้ำมะพร้าว น้ำอ้อย น้ำส้มมาเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘พาณิชย์’ จับมือ 4 ปั๊มน้ำมัน ช่วยเกษตรกรกระจายมะพร้าวน้ำหอม นำแจกเป็นของสมนาคุณผู้เติมน้ำมัน

กรมการค้าภายในจับมือสถานีบริการน้ำมัน 4 รายใหญ่ “พีที โออาร์ บางจาก ซัสโก้” รับซื้อมะพร้าวน้ำหอมจากเกษตรกรในพื้นที่แหล่งผลิตภาคกลาง นำแจกเป็นของสมนาคุณให้กับผู้เติมน้ำมัน ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมาณมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง ดีเดย์ช่วงหยุดยาว 4-6 ธ.ค.นี้ หรือจนกว่าของจะหมด