กพท.พร้อมรับ 'USAP' ตรวจความปลอดภัยสนามบิน 4-18 พ.ย. 68

กพท. เตรียมพร้อมรับ ICAO ตรวจ USAP มาตรฐานความปลอดภัยการบินพลเรือน 4-18 พ.ย.นี้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ-เชียงใหม่ คาดผ่านฉลุย ปลื้มเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลก AAM Symposium 2026 ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากICAO

13 ต.ค.2568-พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) กล่าวภายงานครบรอบ 10 ปีการก่อตั้ง กพท. ภายใต้แนวคิด “A Decade of Pride in Elevating Thai Aviation Towards a Sustainable Future – ทศวรรษแห่งความภาคภูมิใจ ยกระดับการบินของไทย สู่อนาคตอย่างมั่นคง ว่า ในวันที่ 4-18 พ.ย.2568 องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ICAO) จะเข้ามาตรวจสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านการบินของประเทศไทย ในด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน(USAP) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานเชียงใหม่ โดยจะเน้นตรวจสอบมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยทุกด้าน อาทิ สนามบิน สายการบิน ครัวการบิน และคลังสินค้า หากพบว่ามีข้อบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัย จะให้เวลาแก้ไข และมาตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง หากไม่ผ่านมาตรฐาน ไอเคโอจะประกาศติดธงแดงประเทศไทยบนเว็บไซต์ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

โดย กพท. ได้ส่งเจ้าหน้าลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ เป็นระยะๆ และมีความพร้อมแล้ว คาดว่าจะผ่านไปได้เช่นเดียวกับการตรวจด้านการกำกับดูแลความปลอดภัย(USOAP) จาก ICAO ที่เข้ามาตรวจระหว่างวันที่ 27 ส.ค.-8 ก.ย. 2568 ซึ่งผลการตรวจ พบว่า ประเทศไทยสามารถทำคะแนนได้สูงถึง 90% สูงกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานโลกที่ 70% และเพิ่มขึ้นจากการตรวจครั้งก่อนในปี 2562 ที่ไทยเคยได้เพียง 60% ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

“ขณะนี้ประเทศไทยได้กลับมายืนอยู่ในระดับแถวหน้าของภูมิภาคอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นจากการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานสากล ทั้งองค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ซึ่งไทยได้รับการยกระดับมาตรฐานการบินกลับสู่ CAT 1 หลังถูกลดระดับให้อยู่ CAT 2 ตั้งแต่ปี 2558 และ ICAO โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้รับการตรวจครั้งใหญ่ 3 ครั้งในปีเดียวกัน ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้รับเสียงชื่นชมจากหลายประเทศสมาชิก โดยประเทศฟิลิปปินส์ และอียิปต์ ยังขอให้ไทยช่วยให้คำแนะนำ เพื่อให้ผ่านการประเมิน และได้รับคะแนนสูงเหมือนกับประเทศไทยด้วย”พลอากาศเอก มนัท กล่าว

พลอากาศเอก มนัท กล่าวต่อว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ประเทศไทยสามารถทำได้จากการปลดธงแดงกลับสู่มาตรฐานการบิน CAT1 รวมถึงยกระดับคะแนน USOAP จนได้รับความเชื่อมั่นจาก ICAO ให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลก Advance Air Mobility Symposium (AAM) 2026 ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานกำกับดูแล สนามบิน สายการบิน ผู้ให้บริการภาคพื้น อุตสาหกรรมการผลิตและซ่อมบำรุง ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการ นับจากนี้ กพท. จะเดินหน้าตามหลักการสำคัญ ได้แก่ ยึดความปลอดภัยเป็นลำดับแรก ทำงานเพื่อให้อุตสาหกรรมเติบโตบนกติกาที่โปร่งใส และสื่อสารตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นร่วมกัน

นอกจากนี้ กพท.ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ โดยร่วมงานกับพันธมิตรสำคัญอย่าง EASAและ DGAC France ในการพัฒนากฎ มาตรฐาน และบุคลากร รวมถึงการทำงานกับ Airbus และ Boeing เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ “Aviation Hub” ของประเทศให้เป็นจริง ทำให้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการบินและการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาค  กพท.ได้วางกรอบการดำเนินงานที่สำคัญ ซึ่งตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายสำคัญของรัฐสำหรับทศวรรษใหม่ 4 เสาหลัก ได้แก่ 1.ความปลอดภัย (Safety): ยกระดับการกำกับดูแลแบบการบริหารความเสี่ยง risk-based oversight โดยใช้ดิจิทัลและข้อมูลเป็นเครื่องมือหลัก

2.ความยั่งยืน (Sustainability): ร่วมสร้างเศรษฐกิจที่ลดการปล่อยคาร์บอน ด้วยการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงการบิน SAF พร้อมสนับสนุนการลงทุนในห่วงโซ่อุปทาน SAF ที่เชื่อมโยงเกษตร อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศตามมาตรการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ของ ICAO   

3.ความทันสมัยและนวัตกรรม (Innovation): นำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้ในการตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นเพื่อลดเวลาการขออนุญาตต่าง ๆ โดยให้มีการติดตามสถานะแบบ real time พร้อมเตรียมใช้ระบบ Fast Track ในการออกใบอนุญาต การกำหนดหลักเกณฑ์และระบบขออนุญาตต่าง ๆ ให้มีความทันสมัย  กระชับ ชัดเจน  เช่น  การขอขึ้นทะเบียน การขอขึ้นบิน การกำหนดเขตพื้นที่บินมาตรการคุ้มครองความปลอดภัย ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองโลกอนาคตที่จะเข้าสู่ยุคอากาศยานไร้คนขับ (UAS) และอากาศยานขั้นสูง (AAM)

4.ศูนย์กลางการบินและระบบนิเวศอุตสาหกรรม (Aviation Hub & MRO): บูรณาการการทำงาน เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ “Aviation Hub” ร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชน โดยเน้นหลัก 4 แกน 1.ความจุสนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ 2.ระบบอำนวยความสะดวกและมาตรฐานบริการผู้โดยสาร (service quality) ที่สอดคล้องกติกาสากล 3.การพัฒนาอุตสาหกรรมซ่อมบำรุงอากาศยานครบวงจร (MRO) และระบบนิเวศเพื่อการบิน ทั้งฮับซัพพลายเชน ช่างอากาศยาน และมาตรฐานชิ้นส่วนและเอกสาร 4.การสนับสนุนการจัดตั้ง Training Center หรือศูนย์พัฒนาบุคลากรการบิน โดยแผนดังกล่าวได้รับการขับเคลื่อนคู่ขนานกับการพัฒนาสนามบินหลักโดย ทอท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เพิ่มเพื่อน