
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ราช กรุ๊ป’ เดินหน้าสู่เส้นทางพลังงานยั่งยืนอย่างจริงจัง ด้วยการประกาศกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจช่วงปี 2568-2572 ที่สะท้อนวิสัยทัศน์การเติบโตระยะยาว และวางกรอบการดำเนินงานให้ตอบสนองทิศทางพลังงานในอนาคต สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และต่อยอดมูลค่าอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงยึดธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเป็นแกนหลัก พร้อมวางกลยุทธ์ 5S
ประกอบด้วย (S1) การบริหารพอร์ตสินทรัพย์ โดยจะเน้นการปรับปรุงศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำกำไร (S2) การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าตามแผนกำลังผลิตไฟฟ้าของแต่ละประเทศ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ (S3) การลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน
(S4) การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่หมดอายุให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (S5) ลงทุนรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ในธุรกิจสตาร์ทอัปด้านพลังงานรูปแบบใหม่ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
บริษัทเชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะเสริมสร้างความมั่นคงและแข็งแกร่งทางการเงิน ความเป็นเลิศการดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ในต่างประเทศ RATCH Australia Corporation (RAC) บริษัทในเครือที่ราช กรุ๊ป ถือหุ้น 100% ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง 12 แห่ง โดยระหว่างวันที่ 29 กันยายน-4 ตุลาคม 2568 ได้พาสื่อมวลชนไปชมโรงไฟฟ้าตัวอย่าง 2 แห่งในประเทศออสเตรเลีย
เริ่มที่ “โรงไฟฟ้าพลังงานลมคอลเลกเตอร์” ตั้งอยู่ในภูมิภาคเซาเทิร์นเทเบิลแลนด์ส รัฐนิวเซาท์เวลส์ มีกำลังการผลิตติดตั้ง 226.8 เมกะวัตต์ ถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุดของ RAC ปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 528 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี เพียงพอจ่ายไฟให้ครัวเรือนกว่า 80,000 หลัง โครงการครอบคลุมพื้นที่ 6,200 และดำเนินงาน มีจำนวนกังหันลม 54 ต้น รุ่น Vestas V-117 มีมูลค่าโครงการประมาณ 360 ล้านเหรียญออสเตรเลีย
มีผู้รับซื้อไฟฟ้าครบตามกำลังผลิตทั้งหมด ได้แก่ Iberdrola Australia Energy Markets Pty Ltd ร้อยละ 60, ALDI Foods Pty Ltd ร้อยละ 19.4 และ ZEN Energy Retail Pty Limited ร้อยละ 20.6 โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลา 10 ปี
โรงไฟฟ้าพลังงานลมคอลเลกเตอร์ให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม สร้างงานช่วงก่อสร้างกว่า 150 ตำแหน่ง และจ้างงานประจำ 14 ตำแหน่ง สนับสนุนกองทุนเพื่อพัฒนาชุมชนรวมกว่า 270,000 เหรียญออสเตรเลียต่อปี ผ่านกองทุน Collector Wind Farm Community Trust Fund และ Upper Lachlan Shire Collector Wind Farm s355 Fund เพื่อส่งเสริมโครงการที่สร้างประโยชน์และยั่งยืนต่อชุมชน เช่น การส่งเสริมวัฒนธรรมชนพื้นเมือง การพัฒนาเยาวชน และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 320,000 ตันต่อปี และให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำและบนบก
ส่วน “โรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์” ตั้งอยู่ในเมืองทาวน์สวิลล์ รัฐควีนส์แลนด์ กำลังการผลิตติดตั้ง 234 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง และดำเนินงานเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2542 เทคโนโลยีที่ใช้เป็น Combined Cycle Gas Turbines (CCGT) มีกังหันก๊าซ 1 เครื่องทำงานร่วมกับกังหันไอน้ำ 1 เครื่อง เชื่อมต่อกับเครือข่ายแรงสูงของ Powerlink และเครือข่ายแรงดันของ Ergon สามารถจ่ายไฟฟ้าให้ครัวเรือนกว่า 33,106 หลังต่อปี
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 RAC ลงนามสัญญา Dispatch Agreement ระยะเวลา 10 ปี กับ Queensland Pacific Metal (QPM) Energy Limited เพื่อบริหารจัดการการเดินเครื่องและสร้างรายได้ต่อเนื่อง หลังจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับเดิมสิ้นสุด
โรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ยังดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพต่างๆ อย่างรอบด้าน ทำให้โครงการนี้จึงเริ่มเดินเครื่องเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป พร้อมทั้งดูแลชุมชนและสังคมควบคู่ไปด้วย อาทิ สนับสนุนและร่วมมือกับชุมชนเมืองทาวน์สวิลล์ในโครงการเพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม การศึกษา กีฬา สิ่งแวดล้อม และสวัสดิการในพื้นที่ รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยสำหรับพนักงานและชุมชนรอบโรงไฟฟ้า และส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
ทั้งสองโรงไฟฟ้าสะท้อนถึงแนวทางการลงทุนของราช กรุ๊ป ที่ผสมผสานพลังงานสะอาดและพลังงานเชื้อเพลิงหลักเพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจ พร้อมรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แผนกลยุทธ์ 5S ในช่วงปี 2568-2572 ซึ่งองค์กรมุ่งขยายธุรกิจในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนและสำรวจโอกาสใหม่ที่มีการพัฒนาและนวัตกรรมด้านพลังงาน เพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ใหม่นี้ได้กำหนดทิศทางธุรกิจที่มุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานเป็นหลัก โดยจะขยายการลงทุนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจให้มากขึ้น รวมถึงการจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สร้างมูลค่าสูงสุด ทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าให้ใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด การปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ และนวัตกรรมพลังงานที่สนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของโลก
นอกเหนือจากประเทศไทย บริษัทตั้งใจจะขยายธุรกิจในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สปป.ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นต้น อีกทั้งยังตั้งเป้าจะแสวงหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานนอกเหนือจากออสเตรเลีย อาทิ ประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่นด้วย
ปัจจุบันในออสเตรเลีย บริษัทมีบริษัทย่อย คือ บริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) เป็นแกนหลักในการขยายธุรกิจและสร้างรายได้ให้กับบริษัท โดยครึ่งแรกของปีนี้มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 19 ของรายได้รวมบริษัท คิดเป็นจำนวนเงิน 2,948 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเพิ่มมากขึ้นหากโครงการที่อยู่ในมือสามารถพัฒนาและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จตามเป้าหมาย
“ออสเตรเลียเป็นตลาดไฟฟ้าพลังงานสะอาดและเกี่ยวเนื่องเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ ซึ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนพัฒนาโครงการพลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน และการให้บริการเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ”
“ล่าสุด RAC ได้พัฒนาโครงการ Synchronous Condenser ในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซทาวน์สวิลล์ ขนาด 234 เมกะวัตต์ เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบส่งไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์ โครงการนี้ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่กำลังจะปลดระวางตามแผนงาน และคาดว่าความต้องการโครงการลักษณะนี้จะมากขึ้นตามการใช้พลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต” นายนิทัศน์กล่าว
ภายใต้แผนกลยุทธ์ของบริษัท RAC จะสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานทดแทนของบริษัทที่กำหนดเป้าหมายไว้ร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และร้อยละ 40 ในปี 2578 ปัจจุบัน RAC อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพัฒนาและก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บไฟฟ้า รวม 9 โครงการ ในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์มารูลัน กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ขนาด 81 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง
ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570 โครงการระบบกักเก็บพลังงานเบรีล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และโครงการระบบกักเก็บพลังงานอีแอล เอริช ขนาด 250 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง
ซึ่งแผนงานทั้งสองโครงการได้รับความเห็นชอบแล้ว คาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572 และโครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ซึ่งการประเมินเบื้องต้นความเร็วลมเหมาะสมเป็นแหล่งพลังงานได้ และมีระบบสายส่งในพื้นที่รองรับได้ สำหรับกำลังการผลิตของโครงการ ประมาณการ 500-800 เมกะวัตต์ คาดว่าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2573
ปัจจุบัน บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริหารจัดการสินทรัพย์โรงไฟฟ้าในออสเตรเลีย กำลังการผลิตรวม 2,095 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 9 แห่ง ซึ่งรวมถึงโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วย
จะเห็นได้ว่า บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กำลังพยายามสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงด้านพลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้บริษัทอยู่รอดแบบยั่งยืนแต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบให้กับโลกที่กำลังต้องการพลังงานสะอาดมากขึ้นทุกวัน.


