ประชาธิปัตย์ได้ 'อภิสิทธิ์' คัมแบ็ก! โดดเด่นเหนือกว่าพรรคใดๆ…หาคนอื่นๆ เทียบเคียงด้วยยาก

เราจะมี การเลือกตั้งภายในเดือนมีนาคม 2026 ตามไทม์ไลน์ของ MOA ระหว่างพรรคน้ำเงินกับพรรคส้ม ก็เป็นจังหวะดีที่ พรรคประชาธิปัตย์ได้อดีตนายกฯอภิสิทธิ์กลับมาในวันที่ 18 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ประชาชนมีความหวังฟื้นเศรษฐกิจไทย หลังประชาธิปัตย์กู้วิกฤตต้มยำกุ้งมาแล้ว สมัยรัฐบาล ชวน ด้วยดรีมทีม “ธารินทร์-ศุภชัย” และ ประชาธิปัตย์ได้กู้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ด้วยดรีมทีม “อภิสิทธิ์-กรณ์” ในยุคนี้ เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียงปีละประมาณ 2% จนชาชิน เป็น วิกฤตต้มอุ่นกบ ทำให้กบร้อนตายช้าๆ ไม่รู้ตัว พรรคใดจะเป็นที่วางใจให้ฝ่า “วิกฤตต้มอุ่นกบ” นี้ไปได้ ให้ไทยเข้มแข็งอีกคราว

1. พรรคประชาธิปัตย์ โดย คุณอภิสิทธิ์ และ คุณกรณ์ “คนเก่ง และ คนดี” ที่พิสูจน์มาแล้ว หลายสิบปี

แม้จะมีคนพยายาม “ใส่ร้าย…สาดโคลน” ว่า ประชาธิปัตย์ “ไร้ผลงาน” แต่ความจริง รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ได้นำพาประเทศไทย ผ่านโจทย์ที่ยากที่สุดของโลกในช่วง “วิกฤตซับไพรม์-แฮมเบอร์เกอร์” มาได้สำเร็จอย่างสง่างาม เศรษฐกิจไทยฟื้นเร็ว 1 ใน 5 ของโลก จนคุณ กรณ์ จาติกวณิช ได้รับเลือกให้เป็น “รัฐมนตรีคลังโลกแห่งปี 2010”

“วิกฤตซับไพรม์-แฮมเบอร์เกอร์” เป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่หนักที่สุดนับจากช่วงวิบัติเศรษฐกิจ Great Depression 1930 ในช่วงเช่นนั้น ตลาดหุ้นตกหนักทั่วโลก กำลังซื้อในการบริโภค (Consumption) หดหายหนัก ส่งออก (Export) ลำบาก ท่องเที่ยวตกต่ำ การลงทุนเอกชน (Investment) ชะลอตัว รัฐบาล (Government) จึงเป็นเครื่องยนต์เดียวที่ยังเหลืออยู่ในหลัก 4 เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลก็มีกำลังจำกัด เพราะ ภาษีที่เก็บได้ ก็หดตัวตามสภาพเศรษฐกิจ

แต่รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ ใช้นโยบายรัฐบาลอย่างชาญฉลาด และ ฉับไว แก้ปัญหาตั้งแต่รากฐานของเศรษฐกิจ คือ “ผู้ใช้แรงงาน” และ “เกษตรกร” ในเงื่อนไขที่ใช้ภาษีประชาชนอย่างคุ้มค่า ไม่เพียงมุ่งแจกประชานิยมเพื่อคะแนนเสียงเท่านั้น

ในด้าน “ผู้ใช้แรงงาน” รัฐบาลอภิสิทธิ์ริเริ่มโครงการ “เช็คช่วยชาติ” พุ่งเป้าหมายให้ บุคลากรภาครัฐและผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท/คน เป้าหมายจำนวน 9.7 ล้านคน จึงใช้งบประมาณเพียง 19,400 ล้านบาท และ มีเอกชนร่วมมือ ให้ประโยชน์มากมาย ให้ประชาชนใช้เงินได้คุ้มค่ามากขึ้น ทำให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจหมุนเวียนฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เพราะ ผู้ใช้แรงงานเหล่านี้ หลังจากการจ้างงานถูกกระทบในช่วงวิกฤต เมื่อได้เช็คช่วยชาติ ก็จับจ่ายแน่นอนตามแผนของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว

ด้าน “เกษตรกร” รัฐบาลอภิสิทธิ์ริเริ่ม นโยบาย “ประกันรายได้เกษตรกร” เพื่อประกันรายได้ โดยจ่ายเงิน “ส่วนต่าง” ให้เกษตรกรโดยตรง เป็นวิธีที่ชาญฉลาด ใช้เงินน้อยกว่า “ประกันราคาข้าว หรือ สินค้าเกษตรอื่น” มาก ไม่ต้องจ่ายเงินทั้งยอด เพราะ จ่ายแค่ส่วนต่าง ไม่ต้องสร้างคลังเก็บสินค้า ไม่เป็นการแทรกแซงกลไกตลาดด้วย

ทีมเศรษฐกิจ “อภิสิทธิ์-กรณ์” พาเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกมาได้อย่างสง่างามเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

และที่น่าประทับใจ คือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ถูกกลั่นแกล้งสารพัด การชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง ด้วยเหตุผล แบบประชาธิปไตยก็รับได้ แต่กลับมีกองกำลังติดอาวุธแฝงอยู่ มีการยึดถังแก็ส วางไว้ใกล้ชุมชน มีการขับรถเมล์ไล่บี้เจ้าหน้าที่รัฐผู้รักษาความปลอดภัย มีการทำลายการประชุมผู้นำอาเซียน มีการทุบรถนายกรัฐมนตรี มีการยิงระเบิดพุ่งกระทรวงกลาโหม หรือ วัดพระแก้ว และมีการเผาบ้านเผาเมือง แต่นายกฯอภิสิทธิ์ก็สามารถบริหารสถานการณ์ได้ จนไม่บานปลายเป็นสงครามกลางเมือง และ ยังรักษาสมาธิแก้ไขปัญหาของชาติไปได้อย่างสง่างาม

จนทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า เมื่อลงจากตำแหน่ง ทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มจาก 111,000 ล้านเหรียญ สรอ. เมื่อรับตำแหน่ง เป็น 180,000 ล้านเหรียญ สรอ. สูงเป็นอันดับ 13 ของโลก สถานะเงินคงคลังของประเทศ เพิ่มจาก 58,000 ล้านบาท เป็น 300,000 ล้านบาท หนี้สาธารณะต่อจีดีพี ลดลงเป็นลำดับจนต่ำกว่า 40% ไทยได้ก้าวจากประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง (Lower-Middle-Income) เป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน (Upper-Middle-Income) (ตามการแบ่งระดับของธนาคารโลก) เป็นปีแรก…

หลังจากนั้น เรายังไม่ได้เห็นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจให้รายได้ไทยก้าวไปอีกขั้นได้…หลังรัฐบาลอภิสิทธิ์อีกเลย

2. พรรคชินวัตร โดย คุณทักษิณ ครอบครัว และ ตัวแทน ซึ่งปัจจุบันคือ พรรคเพื่อไทย เป็นไปอย่างธุรกิจการเมือง

พรรคชินวัตร ไล่มาตั้งแต่ ไทยรักไทย พลังประชาชน และ เพื่อไทยในปัจจุบัน มีนโยบายที่ดีอยู่บางประการ เช่น โครงการด้านสุขภาพ, โครงการ OTOP หรือ กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นเช่นเดียวกับนโยบายรัฐบาลอื่นๆ คือ ได้มีการทำได้ดี ศึกษา มาก่อนหน้า หรือ มีการนำมาใช้พัฒนาต่อยอดกันมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเริ่มจากรัฐบาลจากพรรคใด

แต่นโยบายไม่น้อยของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นไปโดยทุจริต เช่น การให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้รัฐบาลพม่า โครงการดาวเทียม การลดค่าสัมปทานมือถือ การแปลงสัญญาสัมทานเป็นสรรพสามิต และ นำเอาส่วนแบ่งของรัฐไปจ่ายเป็นค่าภาษีสรรพสามิต ทั้งหมดนี้ เอื้อธุรกิจชินคอร์ปฯ ซึ่งศาลพิพากษาแล้วว่า ทุจริต ต้องยึดทรัพย์ และ ทักษิณหลังจากหนีคุกมากว่า 17 ปี และ เมื่อได้ทำฎีกาขอพระเมตตาอภัยลดโทษ ก็ได้สารภาพความผิดและตั้งใจจะกลับตัวกลับใจแล้ว ก็ยังหนีคุกไปอยู่ชั้น 14 ห้องวีไอพี รพ.ตำรวจอีก จนต้องกลับมาติดคุกจริงหลังศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่า ยังไม่มีการบังคับโทษจริง ตามข่าวที่ผ่านมา

และต่อมาในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยไม่ยอมใช้นโยบาย “ประกันราคาสินค้าเกษตร” ต่อจากรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ แต่ออกนโยบายประชานิยมแบบ “เกทับ” แต่ไม่ฉลาด โดยการ “ประกันราคาข้าว 15,000 บาท/ตัน” รับซื้อข้าวทุกเมล็ด เป็นการบิดเบือนกลไกตลาดโลก ประชาชนไม่น้อย เปลี่ยนการปลูกพืชผลอื่นซึ่งเหมาะสมกว่าตามตลาดการค้าโลก มาปลูกข้าวมากขึ้นๆ ข้าวที่ปลูกก็ด้อยคุณภาพลง เพื่อให้ได้รอบเร็ว จนไทยแข่งขันไม่ได้ เสียแชมป์ส่งออกข้าวให้ประเทศอย่างอินเดีย หรือ เวียดนามไป และ ต้องใช้เงินงบประมาณ สร้างโกดังเพิ่ม และรับซื้อข้าวเพิ่มตามระบบจำนำ และตามด้วยการโกงตลอดกระบวนการ จนถึงการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐปลอม จนรัฐบาลเสียหาย 500,000 ล้านบาท และ นายกฯยิ่งลักษณ์ ต้องหลบหนีคดีไปพักบ้านฮุนเซน และ ได้พาสปอร์ตจากกัมพูชาให้ไปประเทศอื่นๆ

นอกจากนั้น การเปลี่ยนจาก “ประกันราคาข้าว” ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ริเริ่มไว้ เป็น “จำนำข้าวราคาสูงกว่าตลาดโลก” ยังทำให้มีปรากฏการณ์กักน้ำเหนือเขื่อน เพื่อรอให้เกษตรกรท้ายเขื่อนเก็บเกี่ยว จนมีส่วนทำให้เกิดการสะสมน้ำมากขึ้นเป็นมวลน้ำมหาศาล และ ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ 2554 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ประเทศต้องเสียหายอีกหลายแสนล้านบาท ประชาชนลำบากกันถ้วนหน้า

มาถึงสมัยรัฐบาลเศรษฐา ต่อด้วยรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง ก็ยังพัฒนาโครงการ “แจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท” ซึ่งก็มีความขัดกันของประโยชน์ และ เป็นการใช้เงินรัฐบาลไปพัฒนาระบบบล็อกเชน ให้เป็นสกุลเงินคริปโตใหม่ อย่างไร้ปัญญา จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จ เที่ยวไทยคนละครึ่งก็ใช้ระบบใหม่ที่ไร้ประสิทธิภาพ ปฏิเสธการใช้ระบบดีๆอย่าง “เป๋าตัง” จนทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียเงินเพิ่มเติม และ การบริการประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์

คลิปเสียงอื้อฉาว ก็เปิดโปงว่า ครอบครัวนายกฯอุ๊งอิ๊งสนิทสนมกับอังเคิลฮุนเซน จนเห็น “แม่ทัพภาค 2 และ พวกเป็นฝั่งตรงข้าม” ทักษิณก็ช่วยให้ทิศทาง เอาที่ดินไทย ซึ่งแบ่งได้ชัดจากแนว “สันปันน้ำ” ตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยาม และ ฝรั่งเศส แต่ทักษิณกลับให้ไทยถอนร่นมาเว้นเป็น No Man Land และเอาทรัพยากรทางทะเล มาแบ่ง 50%/50% ทั้งที่กัมพูชาลากเส้นตามใจตัวเองผ่าเกาะกูด ไม่เป็นตามกติกาสากล เสียเปรียบกัมพูชา

ก็เป็นการเอาอำนาจรัฐบาลไปเอื้อธุรกิจ ซึ่งอาจเข้าข่าย “ขายชาติ” เพราะไปร่วมกับอริราชศัตรูอย่างกัมพูชาที่จ้องเอาเปรียบประเทศไทย ด้วยการใช้ความลับ กดดันครอบครัวชินวัตรทำให้รัฐบาลไทยต้องเสียเปรียบกัมพูชาได้

3. พรรคส้ม ก่อตั้งและนำโดย คุณธนาธร และ ทีมงาน ซึ่งปัจจุบันคือ พรรคเพื่อประชาชน ก็ “อ่อนวิชา” มีความสามารถแต่ เก่งโม้-เก่งด่า-เก่งวาทกรรม-ปกปิดความจริง

พรรคส้ม มีการตั้งต้นดูเป็นพรรคสถาบันที่น่าสนใจ แต่กลับใช้วาทกรรม ปกปิดความจริงในอดีต วาดภาพน่ากลัว ให้สังคมแตกแยก สร้างความโกรธเกลียดชิงชังกันด้วยความเท็จ หาเสียงอย่างร่าเริงว่า “เป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย” แต่เต็มไปด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ ทำให้คนรุ่นใหม่ หลงรัก และ หลงเชื่อ ว่า ทำไมบ้านเมืองจึงปล่อยให้กลุ่มอำนาจอภิสิทธิ์ชน คุมการผูกขาดธุรกิจ ที่เป็นพวกเดียวกับทหาร เป็นการกดทับประชาชนจนทำให้หากินลำบาก และ จึงได้เสียงด้วยเรื่องราวที่สร้างความโกรธเกลียดต่อโครงสร้างประเทศที่ยังคงระบบนี้มายาวนาน พรรคการเมืองอื่นไม่กล้าพูดในเรื่องที่พรรคส้มพูด

แต่สิ่งที่น่าคิดหลายประเด็นที่พรรคส้ม และ ธนาธรใช้ความเท็จสร้างความเกลีดชัง คือ

(3.1) พรรคส้มชูว่า “รัฐธรรมนูญ 60 ไม่เป็นประชาธิปไตย” พรรคการเมืองของอภิสิทธิ์ชนได้เปรียบจริงหรือ ?

รัฐธรรมนูญ 60 แม้มีบางข้อมีส่วนสืบทอดอำนาจรัฐประหาร แต่เรื่องหลักๆ เช่น สว. มีอำนาจร่วมคัดเลือกนายกรัฐมนตรีก็จบไปแล้วตามอายุบทเฉพาะกาล

และ รัฐธรรมนูญ 60 นี้เอง พรรคการเมืองที่วาดภาพร้ายของ พลเอกประยุทธ์ ก็ทำให้พรรคส้มและพรรคแดงได้คะแนนเสียงมากมาย ไม่มีสภาพเผด็จการแต่อย่างใด ? พลเอกประยุทธ์ ก็ถอยจากการเมือง เคารพเสียงเลือกของประชาชน พรรคเพื่อไทยรวมเสียงได้สูงสุด ในที่สุด ก็ได้บริหารงานตามนโยบายของตนเอง ทั้งที่เป็นโนยบายที่ใช้ไม่ได้ และต้องล้มพับไป เพราะ การขาดความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ การผิดมาตรฐานจริยธรรมที่ร้ายแรงซึ่งประชาชนก็เห็นด้วยกันอย่างชัดเจน

พรรคส้ม หากไม่มีการทำผิดรัฐธรรมนูญ มีพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบการเมือง ก็น่าจะได้มีโอกาสบริหารบ้านเมืองด้วยความเป็นประชาธิปไตยได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะ เมื่อมีการจับมือกับพรรคแดง และเมื่อนายกฯอุ๊งอิ๊ง ต้องถูกพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคส้มก็มีโอกาสเป็นแกนนำจัดรัฐบาล ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น แม้จะไม่มีแคนดิเดตนายกฯที่เหลืออยู่ แต่ก็ย่อมตกลงกับพรรคน้ำเงินได้ โดยหากพรรคน้ำเงินไม่เดินในร่องในรอย ขัดหลักการพรรคส้ม ก็ย่อมถอนตัว อภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทันที แต่พรรคส้มกลับไม่ยอมใช้โอกาส แสดงฝีมือบริหารบ้านเมือง ตามที่หาเสียงไว้ จนประชาชนสงสัยว่า “หรือพรรคส้ม ไม่แน่จริง ? หรือ พรรคส้มกลัวแสดงความอ่อนฝีมือ และเสียคะแนนที่ได้มาตามโม้ ?”

และที่ขัดใจประชาชนที่สุดคือ เมื่อ พรรคน้ำเงินที่ได้โอกาสตาม MOA ได้ใช้โครงการ “คนละครึ่ง” น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายในสภาอย่างเข้มข้นว่า “พรรคประชาชนยกมือให้มายุบสภา…ไม่ใช่ให้ทำโครงการแจกเงิน คนละครึ่ง” สะท้อนเพียงเป้าหมายการเมือง ไม่สนใจปากท้องประชาชนอย่างแท้จริง

(3.2) ธนาธรชูนโยบาย “ทลายเศรษฐกิจผูกขาด หยุดทุนใหญ่กินรวบประเทศ” เช่น ธนาคาร หรือ สุรา จริงหรือ ?

ธนาธรพูดในสิ่งที่ดูเหมือนใช่ แต่ไม่จริง เพียงเพื่อให้เกิดความช้ำใจ ผิดหวังต่อประเทศ และ พรรคการเมืองอื่นๆว่าไม่มีใครพูดแบบธนาธร…ก็เพราะ หลายเรื่อง ไม่เป็นความจริง หรือ ขยายความเจ็บปวดเกินจริง

ธนาธรชี้ว่า ระบบธนาคาร ก็ถูกผูกขาดด้วยกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ไม่มีสถาบันการเงินท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ ซึ่งไม่จริง ก่อนหน้านี้ ไทยเคยมีสถาบันการเงินกว่าครึ่งร้อย แต่เมื่อเกิดเศรษฐกิจวิกฤตต้มยำกุ้งสมัยนายกฯบิ๊กจิ๋ว และ ทักษิณเป็นรองนายกฯ ก็ต้องปิดการดำเนินการธุรกิจไปถึง 56 ไฟแนนซ์ในที่สุด ทำให้เหลือจำนวนธนาคารตามที่เห็นในปัจจุบัน มันจึงไม่ใช่เรื่องกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกินรวบอำนาจธุรกิจผูกขาด ธนาคารอย่างทิสโก้ ทีทีบี (ธนชาต) เกียรตินาคิน ธนาคารซีไอเอ็มบี ฯลฯ ก็ไม่ใช่การผูกขาดเฉพาะกลุ่มอภิสิทธิ์ชนอย่างที่ธนาธรใส่ร้ายด้วยความเท็จจนคนไทยต้องขมขื่นใจแต่อย่างใด

และการเรียกร้องให้เปิดสถาบันการเงินเสรีขึ้น ก็แสดงว่าไม่มีความรู้ว่า สถาบันการเงิน มีความรับผิดชอบต่อเงินของประชาชน (Other People’s Money) จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแล ต้องให้มีความเพียงพอของกองทุน (Capital Adequacy) ระบบงานที่ดี และ ผู้บริหารต้องมีความเหมาะสม ชอบธรรม (Fit & Proper) ไม่ใช่จะไปสร้างความหวังง่ายๆว่า จะเป็นผู้ทลายเศรษฐกิจผูกขาด หยุดทุนใหญ่กินรวบประเทศ

และยังพูดเรื่องสุรา ชี้แจงว่า อย่างเหล้าขาวขวดละ 40-50 บาท ต้องมีภาษีถึง 20 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะแข่งกับรายใหญ่ได้อย่างไร ต้องทลายอำนาจผู้ขาด คำถามคือ ด้วยการลดภาษีหรือ ? และ ไม่รู้หรือว่า ก่อนหน้านี้ นานมาแล้ว ก็มีการผลิตและขายเหล้าเสรี ใบอนุญาตมากมาย แข่งกันขายส่งเสริมความเมามาย และ มีการใช้แอลกอฮอล์ไร้คุณภาพทำให้ประชาชนเสียสุขภาพเป็นอันตรายไปมากมาย ในเมื่อประเทศเลือกระบบผูกขาดธุรกิจอบายมุข ก็ให้จ่ายภาษีที่สูงเพื่อให้รัฐได้ประโยชน์และควบคุมไม่ให้แข่งขันกันในธุรกิจอบายมุขมากเกินไป ก็ไม่ต้องช้ำใจ เกลียดชังอย่างที่ธนาธรพูด

แต่น่าแปลกใจ ที่ไม่ชี้ไปที่สัมปทานผูกขาดโทรคมนาคม เพราะ หวังผลการเมืองเป็นหลัก เพื่อร่วมมือกับแดง ใช่หรือไม่ ?

(3.3) ธนาธรชูนโยบาย “เอาเงินลงทุนจากต่างประเทศ แต่ไม่ใช่มาหวังมูลค่าเพิ่มจากตลาดไทย แต่ให้แข่งได้ในโลก” เหมาะสมจริงหรือ ?

แม้ฟังดูฉลาด แต่ทำได้จริงหรือ ถ้าเอาเงินลงทุนจากต่างประเทศ ที่ไม่มาใช้ประโยชน์ตลาดไทยหรือภูมิภาครอบๆ จะมาด้วอะไร ? บุคลากร หรือ ? เราพร้อมแล้วหรือ ? ภาษีหรือ ? แล้วประเทศจะได้อะไร ?

แต่เราเคยได้ยินโครงการฝันของธนาธร คือ การร่วมมือกับอิลอน มัส ทำโครงการอย่างไฮเปอร์ลูป ซึ่งเราก็เห็นว่า อิลอนมัส ก็เป็นธุรกิจสนับสนุนการเมือง สนับสนุนทรัมพ์จนได้โครงการรัฐเช่นดาวเทียมมากมาย และ ดาวเทียมระเบิดไปก็หลายครั้ง ไฮเปอร์ลูป ก็เป็นโครงการฝันที่ใช้การไม่ได้ หากไทยได้ทำโครงการทำนองนี้ จะเสียหายเพียงใด ?

การที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งครอบครัวอยู่ในกลุ่มธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เราก็ยังไม่สามารถวางใจได้ว่า จะมีความขัดกันของประโยชน์กับภาครัฐหรือไม่ ?

เหล่านี้เป็นตัวอย่างการหาเสียงด้วยความเท็จ สร้างความโกรธเกลียดชิงชัง จนได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำอย่างร่าเริง แต่เมื่อถึงโอกาส กลับไม่ยอมแสดงฝีมือบริหารภาครัฐ แต่ต้องล้มรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงก่อน ประชาชนจึงยังจะเชื่อฝีมือ และ เชื่อใจไม่ได้จริง

4. พรรคน้ำเงิน เริ่มต้นก็ใช้ “พลังดูด” เป็น ศูนย์การค้าธุรกิจการเมือง ประชาชนจะวางใจได้หรือไม่ ?

การเริ่มต้นของพรรคน้ำเงินในช่วงนี้ เป็นช่วง “ส้มหล่น” จึงเกาะกระแสหวังชิงเสียงแฟนๆลุงตู่ แต่อีกด้านหนึ่ง กลับใช้วิธีดูด สส. อย่างแข็งขัน พอๆกับพรรคกล้าธรรมของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า หากไม่มีปรากฏการณ์ “ส้มหล่น” มีแต่ สส. กลุ่มธุรกิจการเมืองที่อยู่กันแน่นพรรค ก็ยากจะไว้วางใจได้ว่า จะมีคนดีมีฝีมือ มานำนโยบายได้เพียงใด และ เขาเหล่านั้น เมื่อพวกพ้องเริ่ม “ถอนทุนการเมือง” ตามธรรมชาติ จะทนอยู่กันได้หรือไม่

ถ้าเทียบคน เทียบผลงานแล้ว การกลับมา อภิสิทธิ์ ประชาธิปัตย์ จึงน่าดีใจ และเชื่อว่าเหนือกว่าใครๆ แม้ว่าจะเทียบกับระดับ ทักษิณ-ธนาธร-อนุทิน จริงๆ

ไทยทน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อภิสิทธิ์' ลั่นต่อสู้ให้การเมืองกลับมาเป็นเรื่องความนิยมอุดมการณ์-นโยบายตัวบุคคล

หัวหน้าปชป. ไม่หวั่น อดีต สส. แห่ย้ายพรรค พร้อมส่ง สส.ชน ย้ำไม่มีใครผูกขาดคะแนนเสียง บอกหากวันเลือกตั้งต้องขยับ เนื่องจากเหตุสุดวิสัยเป็นเรื่องเข้าใจได้

ภูมิใจไทยปลุกพลังผู้สมัครสส. ชูสโลแกน 'พูดแล้วทำพลัส' ตั้งเป้าเกิน 200 ที่นั่ง!

แกนนำภูมิใจไทยกำชับว่าที่ผู้สมัคร สส.เดินเกมเลือกตั้งตามกติกา กกต. ชูผลงานรัฐบาลเป็นจุดขาย พร้อมปลุกใจหากทุ่มเทเต็มที่ มีลุ้นกวาดเกิน 200 ที่นั่ง มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีแนวโน้มคลี่คลายก่อนปีใหม่

เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1

"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย

ปชป. ชู 3 แกนหลัก การเมืองสุจริต ความเป็นมืออาชีพ ไว้วางใจได้ไม่มีดีลลับ

ปชป. ประกาศเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ ชู 3 แกนหลัก สุจริต-มืออาชีพ-ไว้วางใจ พร้อมสะท้อนปัญหาหาดใหญ่ถึงรัฐบาล