
กกพ. เปิด 2 ทางเลือกเคาะค่าไฟต้นปี 69 ลั่นหากใช้หนี้ กฟผ. ทั้งหมดหนุนค่าไฟขึ้นเป็น 4.58 บาท แต่ตรึงราคาต่อ 3.94 บาท กฟผ. ต้องแบกหนี้อีก 3 ปีกว่า ลั่นหากจะลดราคาต้องดูตามความเหมาะสมให้เกิดความสมดุล
10 พ.ย. 2568 – นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก เปิดเผยว่า ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 42/2568 (ครั้งที่ 984) เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2568 มีมติให้เปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าFt) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าสำหรับงวด ม.ค. – เม.ย. 2569 เป็น 2 กรณี แบ่งเป็น กรณีที่ 1 ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 79.75 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับ ค่า Ft ที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนม.ค. – เม.ย. 69 จำนวน 6.11 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2568 จำนวน 47,058 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73.64 สตางค์ต่อหน่วย
โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อ ไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือนก.ย. 2564 – เม.ย. 2568 ในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือน เม.ย. 2569 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืน สู่สภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.58 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้า ทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้น 16% จากระดับ 3.94 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน
กรณีที่ 2 กรณีตรึงค่า Ft เท่ากับงวดปัจจุบัน (ข้อเสนอ กฟผ.) ค่า Ft ขายปลีก เท่ากับ 15.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนม.ค. – เม.ย. 2569 จำนวน 6.11 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุน AF คงค้างสะสมได้จำนวน 6,141 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.61 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อนำไปพิจารณาทยอยคืนภาระค่า AF บางส่วนให้แก่ กฟผ. ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คงที่เท่ากับ 3.94 บาทต่อหน่วย เช่นเดียวกับปัจจุบัน
“หากเลือกแนวทางที่ 2 จะทำให้มีเงินไปคืนหนี้ กฟผ. ประมาณ 3,500 ล้านบาท ส่งผลให้หนี้ กฟผ. คงค้างอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งหากยังคืนหนี้ให้อัตราดังกล่าว จะใช้ระยะเวลาประมาณ 10-11 งวด หรือประมาณ 3 ปีกว่า จนกว่าหนี้กฟผ. จะหมด ขณะที่แนวทางการลดค่าไฟฟ้านั้นจะต้องมาพิจารณาตามความเหมาะสม ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่เพื่อไม่ให้กระทบกับการจ่ายหนี้คืน กฟผ. รวมถึงการดูแล ต้นทุนค่าก๊าธรรมชาติคงค้างของรัฐวิสาหกิจ(AFGas)ที่เหลืออยู่ประมาณ 12,000 ล้านบาท ที่ต้องชำระคืน 2,580 ล้านบาทต่องวด โดยตอนนี้ต้องภาวนาให้อัตราพลังงานต่าง ๆ ในโลกไม่ปรับตัวสูงมาก ซึ่งหากไม่มีสถานการณ์บ้านเมืองที่รุนแรง หรือภาวะสงครามจนทำให้ราคาเชื้อเพลิงผันผวน ก็จะเป็นผลดีกับบ้านเรา ส่วนกรณีเงิน Claw back จะเป็นเงินที่ใช้วัตถุประสงค์ที่เกิดความจำเป็นเช่นวิกฤติพลังงาน ซึ่งเหลืออีกประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยรอบนี้ไม่เลือกใช้เงินส่วนนี้ เพราะทิศทางยังเป็นบวก และการตรึงอัตราค่าไฟ ถือว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสม”นายพูลพัฒน์ กล่าว
นายพูลพัฒน์ กล่าวว่า ต้นทุนหลัก ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาท เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐส่งผลดีเชิงบวกต่อค่าไฟ แนวโน้มค่าไฟจึงเข้าสู่ภาวะขาลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ กกพ. มีช่องว่าง โอกาส และทางเลือกในการบริหารความสมดุลระหว่างการลดลงของต้นทุนค่าไฟกับการรักษา เสถียรภาพและความมั่นคงของระบบพลังงานได้พร้อมกัน การทบทวนค่าไฟในงวดต้นปีหน้า จึงยังสามารถตรึง ค่าไฟให้อยู่ในระดับเดิมได้ อีกทั้งยังมีช่องทางในการเร่งลดภาระทางการเงินด้านเชื้อเพลิงล่วงหน้าให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เพิ่มเติมด้วย


