
กทพ. เร่งเครื่องดันองค์กรสู่ระบบทางพิเศษอัจฉริยะยุคใหม่ รองรับยานยนต์ไร้คนขับ ลดช่องเงินสด ดันโครงการก่อสร้างตามแผน เปิดแคมเปญคืนค่าผ่านทาง 50% เอาใจคนใช้อีซี่พาส
27 พ.ย. 2568 – นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่าก้าวสู่ปีที่ 53 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคทางพิเศษอัจฉริยะ ที่ กทพ. จะพัฒนาระบบรองรับยานยนต์ไร้คนขับ และปรับลดจำนวนช่องเงินสดให้เหลือเท่าที่จำเป็น เพื่อลดเวลารอคิวหน้าด่านและเพิ่มความคล่องตัวของการเดินทาง พร้อมทั้งเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างสำคัญ ทั้งทางพิเศษบนถนนพระราม 2 และโครงข่ายทางพิเศษในภูมิภาคให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
“กทพ. ยังมอบสิทธิตอบแทนผู้ใช้บริการด้วยแคมเปญ คืนค่าผ่านทาง 50% สำหรับผู้ใช้ระบบ Easy Pass เท่านั้น ในวันที่ 6 มกราคม 2569 เวลา 00.01–23.59 น. ครอบคลุมทางพิเศษทั้ง 7 สายทาง โดยระบบจะคืนเงินให้ทันทีแบบ Real-Time พร้อมแจ้งเตือนผ่านแอป Exat Portal สำหรับผู้ที่ผูกบัญชีไว้ และยังสามารถตรวจสอบยอดเงินหรือการเติมเงินผ่านแอปหรือเว็บไซต์ www.ThaiEasyPass.com ได้อย่างสะดวก”นายสุรเชษฐ์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างที่สำคัญ เช่นโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก มีความก้าวหน้าของงานก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ 92.13% และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2569 โดยโครงการนี้ผ่านการออกแบบและบูรณาการร่วมกับกรมทางหลวง เพื่อให้เชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อตามหลักวิศวกรรมและมาตรฐานความปลอดภัย
นอกจากนี้ กทพ. ยังเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค โดยเฉพาะโครงการทางพิเศษสายกะทู้–ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ครม. เห็นชอบให้ดำเนินการก่อสร้างรูปแบบ Design & Build เป็นทางยกระดับ 4 ช่องจราจรต่อทิศทาง (รถยนต์ 2 ช่อง และรถจักรยานยนต์ 2 ช่อง) ระยะทางรวม 3.98 กม. พร้อมอุโมงค์ยาว 1.85 กม. วงเงินลงทุน 10,964.77 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและลดอุบัติเหตุในพื้นที่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างคัดเลือกผู้รับจ้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2573
ส่วนระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่–เกาะแก้ว–กะทู้ ระยะทาง 30.62 กม. คาดว่าจะเสนอ ครม. เพื่ออนุมัติได้ภายในปี 2569 และเมื่อทั้งสองระยะก่อสร้างแล้วเสร็จ จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักที่ช่วยลดเวลาเดินทางและเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนอย่างชัดเจน ยืนยันว่าจะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล และยกระดับโครงข่ายทางพิเศษทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ปลอดภัย คล่องตัว และยั่งยืนในอนาคตต่อไป.


