
‘นักวิชาการ’ ชี้เศรษฐกิจไทยปี 69 โตช้า บุญเก่าอ่อนแรง บุญใหม่ยังไม่มี เคาะจีดีพีที่ 1.6-1.8% ลุ้นเลือกตั้งเป็นความหวัง จับตาแนวนโยบายปักหมุดแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ยันมาตรการแจกเงินไม่ใช่คำตอบ
1 ธ.ค. 2568 – นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร กล่าวในหัวข้อ ‘วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปีม้าไฟ จะ ‘ปัง’ หรือต้อง ‘ระวัง’ ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์’ ในงานปาฐกถาพิเศษ ‘คู่หูเศรษบกิจฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน (Fiscal-Monetary Synergy in Sight’ จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มการเติบโตช้า โดยคาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะขยายตัวที่ 1.6-1.8% ลดลงจากคาดการณ์ในปี 2568 ที่ 2% และยังเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญปัญหาความท้าทายต่อเนื่องจากปีนี้
ทั้งนี้ การเติบโตที่แผ่วลงนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่สูงเมื่อต้นปี 2568 โดยจีดีพีในไตรมาส 1/2568 ขยายตัว 3.2% เพราะยังไม่มีปัญหาการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัวที่ 2.8% ส่วนไตรมาส 3 เครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจเริ่มอ่อนกำลังลง อีกทั้งยังมีผลกระทบจากภัยธรรมชาติเข้ามากดดันด้วย
“ปีหน้าเศรษฐกิจไทยโตช้า เพราะบุญเก่าอ่อนแรง และบุญใหม่ยังไม่มี คำถามคือ อะไรจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว หลังจากที่เครื่องยนต์หลักอย่างการท่องเที่ยว และความสามารถในการผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ คำตอบคือ ตอนนี้ไทยยังไม่เจอว่าอะไรจะเป็นเครื่องยนต์ในการดึงให้เศรษฐกิจกลับขึ้นไป” นายพิพัฒน์ กล่าว
โดยตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 เศรษฐกิจไทยกลับไปโตยากมาก การจะกลับไปขยายตัวที่ 2% ยังค่อนข้างลำบาก แต่ปัจจัยที่น่ากังวลไม่ใช่แค่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าเมื่อเทียบกับอดีต แต่ไทยกำลังเติบโตช้าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ประเทศไทยกำลังถูกขนานนามและถูกพูดถึงมากขึ้นว่าเป็นคนป่วยคนใหม่ของเอเชีย จีดีพีต่อหัว (GDP per capita) โตตามหลังสิงคโปร์ถึง 11 เท่า ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยกำลังถูกบีบ ปัจจุบันตัวเลขจีดีพีของไทยอยู่ที่ 2 ของอาเซียน แต่ในอีก 15 ข้างหน้า มีโอกาสที่จะหล่นไปอยู่อันดับที่ 5 เหล่านี้เป็นความเสี่ยง และเป็นคำถามว่าจะทำอย่างไรที่สามารถดันให้เศรษฐกิจกลับมาได้
สำหรับปัญหาที่เศรษฐกิจไทยเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือ ภาคการผลิต จากความสามารถในการแข่งขัน แม้ว่าการส่งออกจากขยายตัว แต่การผลิตจริงกลับติดลบ ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มชนเพดาน นักท่องเที่ยวน่าจะฟื้นตัว แต่แรงส่งไม่เหมือนเดิิม การท่องเที่ยวในปัจจุบันกลายเป็นแค่ฐานค้ำยันเศรษฐกิจ ไม่ใช่เครื่องยนต์ติดเทอร์โบที่จะดันให้เติบโตแบบก้าวกระโดดอีกต่อไป อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องกับดักหนี้ และการปล่อยกู้ภาคธนาคาร ขณะเดียวกันยังมีกำแพงปัญหาที่มองไม่เห็น เหมือนคลื่นสึนามิที่กำลังพาเศรษฐกิจไทยไปสู่ปัญหาการเติบโตช้า นั่นคือ โครงสร้างประชากร ซึ่งไทยเป็นไม่กี่ประเทศในกลุ่มประเทศตลาดใหม่ที่มีปัญหาโครงสร้างประชากร ประชากรวัยทำงานของไทยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่แก้ด้วยการแจกเงินไม่ได้
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และเม็ดเงินลงทุนใหม่ (FDI) ที่เริ่มไหลเข้ามาจากการย้ายฐานการผลิตในอุตสาหกรรม Data Center, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทับขนาดใหญ่เพื่อรองรับ AI, อุตสาหกรรม EV และแบตเตอรี่ ซึ่งไทยยังคงเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
“ปี 2569 ยังเป็นปีแห่งทางแยกของเศรษฐกิจไทย ที่มีความท้าทายจากปัจจัยภายในและภายนอก ดังนั้นไทยต้องเร่งสร้างเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ ขณะเดียวกันยังต้องจับตาการเลือกตั้งและแนวนโยบายการเงินการคลัง นอกเหนือจากการท่องเที่ยวและการลงทุน สำหรับการเลือกตั้งนั้น ยังมองว่าอาจจะเป็นโอกาสสำคัญของเศรษฐกิจไทย วันนี้ปัญหาหลายอย่างเรารู้ว่าคืออะไร ต้นเหตุคืออะไร จะแก้อะไร แต่จะแก้อย่างไรยังคงเป็นปัญหาสำคัญ การเลือกตั้งจึงอาจจะเป็นข้อดี คืออาจจะมีคนนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างไร จากแนวนโยบาย แนวมาตรการที่จะช่วยคลายปัญหาหบายสิ่งที่เศรษฐกิจไทยกำลังเจอ ซึ่งยืนยันว่าเราต้องการนโยบายปฏิรูปที่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่การแจกเงิน” นายพิพัฒน์ กล่าว


