
ในช่วงที่หน่วยงานภาครัฐในบ้านเรายังคงสื่อสารอย่างภาคภูมิใจกับอันดับโลกของรัฐบาลดิจิทัลที่ขยับขึ้นเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเรากำลังเผชิญกับภาวะ ‘ถดถอย’ อย่างน่าตกใจในมิติสำคัญ นั่นคือ ด้านบริการออนไลน์ของภาครัฐ ในส่วนของ Online Service Index (OSI) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ ผ่านมา (จากปี พ.ศ. 2563 ถึง 2567) สัญญาณเตือนนี้ดังยิ่งขึ้น เมื่อเราหันไปมองประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน หลายประเทศกำลังใช้การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้าและชัดเจน
11 ธ.ค. 2568 – ประเด็นที่น่าจับตาที่สุดในช่วงนี้คือ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ “เวียดนาม” ที่ได้ประกาศแผนการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานรัฐบาลดิจิทัลให้สมบูรณ์ภายในปี พ.ศ. 2573 ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีแห่งอนาคตเป็นแกนหลัก เวียดนามกำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยการวางเดิมพันครั้งใหญ่บนแพลตฟอร์ม “บิ๊ก ดาต้า” (Big Data) และ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) โดยกำหนดให้ AI เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการบริหารภาครัฐ การให้บริการสาธารณะ และการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภาครัฐอย่างแท้จริง เมื่อวิสัยทัศน์ของประเทศเพื่อนบ้านมีความทะเยอทะยานอย่างเป็นรูปธรรมเช่นนี้ ยิ่งทำให้เราต้องกลับมาตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ทิศทางการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของเราในช่วงที่ผ่านมานั้น “หลงทาง” หรือ “ล้าหลัง” กว่าที่คิดหรือไม่?
หลายคนอาจมองแค่ตัวเลขรวมของอันดับโลกที่ดีขึ้น จากลำดับที่ 55 เป็นลำดับที่ 52 แต่ถ้าวิเคราะห์รายละเอียดในส่วนของการบริการออนไลน์ของภาครัฐ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลนั้น คะแนน OSI ของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งสะท้อนถึงการดำเนินงานด้านรัฐบาลดิจิทัลของไทยที่ไม่มีประสิทธิผลเพียงพอในช่วงที่ผ่านมา และเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในแถบอาเซียน ไทยตกจากอันดับ 2 สู่ อันดับ 4 ในปี 2567 ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาในส่วนของ Service Provision (การจัดให้มีบริการ) และ E-Participation (การมีส่วนร่วมของประชาชน) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในการคำนวณ OSI นั้น คะแนนด้าน Service Provision ไทยตกจากอันดับที่ 3 ไปอยู่อันดับที่ 5 ของอาเซียน แปลว่าการจัดให้มีบริการที่ครอบคลุม สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพของเราแย่ลง และด้าน E-Participation ไทยร่วงจากอันดับ 18 สู่ อันดับ 42 ของโลก
สะท้อนว่าภาครัฐไทยให้ความสำคัญน้อยลงกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและการกำหนดกฎ ระเบียบและนโยบายของภาครัฐ และที่น่าตกใจคือ ถ้าดูในองค์ประกอบของ OSI ในส่วนของ Technology ไทยมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียน โดยรั้งอยู่ที่อันดับ 7 (ร่วม) จากสมาชิกอาเซียนทั้งหมด 11 ประเทศ
ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งพัฒนาบริการรัฐบาลดิจิทัล บนหลักการที่เรียกว่า Digital Government for All คือ การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่ต้องเน้นการให้บริการแก่ “ทุกคน” ไม่ใช่แค่กลุ่มคนบางกลุ่ม ต้องครอบคลุม กลุ่มเปราะบาง, ผู้สูงอายุ, ผู้พิการ และทุกคนที่พำนักในประเทศไทย ต้องเร่งพัฒนา National Web Portal สำหรับ Digital Government Services ให้เป็นศูนย์รวมบริการออนไลน์ภาครัฐที่สมบูรณ์แบบ เชื่อมโยงสะดวกเหมือนกับที่ประเทศชั้นนำได้ทำ ไม่ใช่จำกัดตัวเองอยู่แค่การพัฒนา Mobile App ซึ่งเป็นการจำกัดจำนวนผู้ใช้งานอยู่แค่ภายในวงจำกัด แต่รัฐบาลต้องเน้นพัฒนาบริการบนเว็บไซต์พื้นฐานเป็นหลักควบคู่กันไป เพื่อความสะดวก และการเข้าถึงได้ของประชาชนทุกกลุ่ม มองไปสู่อนาคต โดยนำเทคโนโลยีล้ำสมัย อย่าง AI มาช่วยในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลไม่ใช่แค่การติดตั้งอุปกรณ์ แต่คือการยกระดับ คุณภาพชีวิต ของประชาชนอย่างแท้จริง
โดยสรุป การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของไทย ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีความก้าวหน้าเท่าที่ควร และโดนประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แซงนำอย่างน่าเป็นกังวล การละเลยที่จะสร้างบริการดิจิทัลสำหรับ “ประชาชนทุกคน” และการเพิกเฉยต่อการสร้าง National Web Portal ที่เชื่อมโยงบริการภาครัฐอย่างครบวงจร คือสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข การนำเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI มาประยุกต์ใช้งานอย่างกว้างขวาง รวมถึง ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องเร่งปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และวิถีการดำเนินงาน ก่อนที่ประเทศไทยจะโดนเพื่อนบ้านและนานาประเทศทิ้งห่าง โดยยากที่จะตามทัน
บทความโดย น.ส.วีรินทร์ อรวัฒนพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)

