กฟผ.ลั่นหากไม่มี SMR เป็นทางเลือกต้นทุนค่าไฟพุ่งสูงแน่

กฟผ.รับพีดีพีล่าช้าแต่ไม่ห่วง ยัน SMR ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่ต้องรอจังหวะรัฐบาล แต่เป็นการลงทุนเชิงโครงสร้างที่ต้องเตรียมการ 10 ปีขึ้นไป ย้ำสิ่งสำคัญคือการยอมรับของสังคมที่ต้องอาศัยการสื่อสารและความต่อเนื่องของนโยบาย ลั่นหากไม่มี SMR เป็นทางเลือก ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

17 ธ.ค. 2568 - นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยภายหลังนำคณะศึกษาดูงานนวัตกรรมพลังงานสะอาด ณ สาธารณรัฐเกาหลี ว่าแม้ปัจจัยทางการเมืองที่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อาจทำให้ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ(PDP) ฉบับใหม่ล่าช้าลงบ้าง แต่ตามแผนได้มีการปรับปรุงมามากพอสมควรแล้ว โดยในมุมของ กฟผ. การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก(SMR) ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่ต้องรอจังหวะรัฐบาล แต่เป็นการลงทุนเชิงโครงสร้างที่ใช้เวลาเตรียมการกว่า 10 ปีขึ้นไป

ตั้งแต่กฎหมาย กฎระเบียบ บุคลากร ซึ่งสามารถเดินหน้าคู่ขนานไปได้โดยไม่สะดุดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ยังต้องจับตาความท้าทายหลักของไทยโดยเฉพาะการสร้างการยอมรับของสังคมที่ต้องอาศัยการสื่อสารและความต่อเนื่องของนโยบาย ขณะเดียวกันเทคโนโลยี SMR และไฮโดรเจนถือเป็นความหวังใหม่ของระบบไฟฟ้าไทย ในการยกระดับความมั่นคงพลังงาน ควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ไทยมีโอกาสบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้เร็วขึ้น จากปี 2065 มาเป็นปี 2050

ทั้งนี้แนวทางพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ถูกแบ่งออกเป็น 3 เฟส โดยปัจจุบันไทยอยู่ในเฟสแรก คือ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์และลม ซึ่งแม้มีต้นทุนต่ำและทำเชิงพาณิชย์ได้แล้ว แต่แลกมากับความไม่เสถียรของระบบไฟฟ้า จึงต้องเร่งปรับโครงข่าย ให้รองรับพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น ส่วนในร่าง PDP ใหม่ มีการวางระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) สูงถึง 45,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับราว 20,000 เมกะวัตต์ และแบตเตอรี่ 25,000 เมกะวัตต์ เพื่อเป็นฐานเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในอนาคต

นายวฤต กล่าวว่า กฟผ. ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้า มุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกิน 50% ตามร่างแผน PDP2024 ผ่านโครงการสำคัญ(Quick Big Win) เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) แต่สำหรับ SMR ถือเป็นส่วนสำคัญที่ร่าง PDP 2024 กำหนดให้มี 2 โรง รวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 ส่วนเฟสที่ 2 คือเทคโนโลยีที่ทั่วโลกพัฒนาแล้ว แต่ยังไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์เต็มที่ ซึ่ง SMR ถือเป็นเทคโนโลยีที่ใกล้ความจริงมากที่สุด และถูกกำหนดไว้ในร่าง PDP จำนวน 2 โรง กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580

"หากประเทศไทยต้องเดินหน้า Net Zero ปี 2050 โดยไม่มี SMR เป็นทางเลือก ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนสูง SMR จึงไม่ใช่เรื่องเลือกหรือไม่เลือกนิวเคลียร์ แต่เป็นเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ซึ่ง SMR มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยสูง ใช้ระบบ Passive Safety สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าภายนอก และใช้พื้นที่จำกัด โดยหากไทยตัดสินใจเดินหน้าอย่างเป็นทางการตามมาตรฐาน IAEA จะต้องใช้เวลาประมาณ 12–13 ปี ก่อนมีโรงแรกเดินเครื่อง"นายวฤต กล่าว

อย่างไรก็ตามการศึกษาดูงานครั้งนี้ กฟผ. ได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยกลางของ Korea Hydro & Nuclear Power (KHNP) โรงงานเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของ KEPCO Nuclear Fuel และโรงงานไฮโดรเจนของ Doosan Enerbility ซึ่งสะท้อนภาพชัดว่า เกาหลีใต้เดินหน้าพัฒนา Value Chain พลังงานสะอาดครบวงจร ทั้ง SMR พลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจน เพื่อเสริมความมั่นคงและสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ

โดย กฟผ. ติดตามพัฒนาการ SMR อย่างใกล้ชิด และร่วมมือกับหลายหน่วยงาน อาทิ ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาฯ และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยมี KHNP เป็นพันธมิตรสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้และพัฒนาบุคลากร โดย KHNP มีประสบการณ์กว่า 50 ปี และได้พัฒนาเทคโนโลยี i-SMR ที่ใช้ระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety ติดตั้งแบบฝังใต้ดิน สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติในสถานการณ์ฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือบุคลากร ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิด Smart City ของเมืองแทกู ที่ผสานพลังงาน i-SMR พลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจน เพื่อพัฒนาสู่ “Smart Net-Zero City”

"เกาหลีใต้ เป็น Top 5 ผู้นำด้านนิวเคลียร์ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 26 โรง คิดเป็น 30% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ และในแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 11 ยังมีแผนพัฒนา SMR ขนาด 680 เมกะวัตต์ ผ่านเทคโนโลยี "i-SMR" ภายใต้ i-SMR Consortium โดยตั้งเป้าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2035"โดยเกาหลีใต้มุ่งเน้นการพัฒนา Value Chain ทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหาเชื้อเพลิงไปจนถึงการบริหารจัดการกากนิวเคลียร์ ขณะที่ไทยยังอยู่ในช่วง “ศึกษาและเตรียมความพร้อม”นายวฤต กล่าว

นอกจาก SMR แล้ว ปัจจุบัน กฟผ. อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมไฮโดรเจน 5% กับก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 6 แห่ง ได้แก่ พระนครเหนือ, พระนครใต้, วังน้อย, บางปะกง, น้ำพอง, และจะนะ พร้อมจับมือกับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น มิตซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด (MCT) เพื่อศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียในพื้นที่ศักยภาพของ กฟผ.

"ในระยะเปลี่ยนผ่าน ไทยมุ่งผลักดัน Blue Hydrogen ควบคู่เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งโครงการนำร่องจำเป็นต้องอยู่ในแหล่งปิโตรเลียมกลางทะเล เพื่อใช้ธรรมชาติเป็นบัฟเฟอร์ในการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งไทยอยู่ในชั่วงศึกษาอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้ไทยตกขบวน"นายวฤต กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชวนทำบุญ อิ่มใจ ร้านกาชาด กฟผ. จัดเต็มสอยดาวฉลากเบอร์ 5 ชมนิทรรศการแสงแห่งพระเมตตา สถิตย์ในใจประชานิจนิรันดร์ รำลึก’พระพันปีหลวง’

เริ่มแล้วงานกาชาดประจำปี 2568 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ร้อยดวงใจปวงประชา น้อมสำนึกพระเมตตา องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย”

“เทด้า” คว้ารางวัล “คู่ค้าดีเด่นจาก กฟผ.” ติดต่อกันเป็นปีที่ 2

นายครองเกียรติ์ อุดมรัตนชัยกุล (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทด้า จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจด้านการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง

มะม่วงหิมพานต์กับปาฏิหาริย์เรื่องราวแห่งแรงใจจากบ้านหาดไก่ต้อย จังหวัดอุตรดิตถ์

เรื่องราวของ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มส่งเสริมอาชีพบ้านหาดไก่ต้อย จังหวัดอุตรดิตถ์ คือบทพิสูจน์ชั้นดีว่า “ความไม่ยอมแพ้” สามารถเปลี่ยนผืนดินที่แห้งแล้งให้กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้

SAMART แจ้ง 'เทด้า' คว้างานใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 3.2 พันลบ. ดันมูลค่างานในมือพุ่งแตะ 3.7 พันล้านบาท

“เทด้า” คว้างานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 3.2 พันล้านบาท วางแผนเข้าประมูลงานอีกหลายโครงการ ล่าสุดคว้ารางวัล “คู่ค้าดีเด่นประจำปี 2568” จากกฟผ. การันตีองค์กรคุณภาพที่มีมาตรฐานการทำงานสูง