รายงานระบุบริษัทอาหารในเอเชียเพียง 14.7% เดินหน้าสู่ไข่ไก่ปลอดกรง ขณะที่เกือบ 30% ยังไม่เปิดเผยข้อมูล

รายงาน Asia Cage-Free Tracker 2025 เผยความคืบหน้าการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ไข่ไก่ปลอดกรงของบริษัทอุตสาหกรรมอาหารในเอเชีย พบว่าแม้ภาคธุรกิจจะมีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ภาพรวมของการดำเนินงานยังเป็นไปอย่างล่าช้า แม้หลายบริษัทจะเริ่มมีการรายงานความคืบหน้า แต่มีเพียง 14.7% เท่านั้นที่สามารถดำเนินการได้ครบถ้วน หรืออยู่ในเส้นทางบรรลุเป้าหมายภายในปี 2025 ขณะที่เกือบ 30% ของบริษัทยังไม่มีการรายงานข้อมูลต่อสาธารณะ ชี้ให้เห็นช่องว่างด้านความโปร่งใสยังคงอยู่ กำลังสร้างความกังวลว่าภาคธุรกิจอาจพลาดเป้าหมายปี 2025 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องทั้งต่อสวัสดิภาพสัตว์และเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานโลก

26 ธ.ค. 2568 – รายงานฉบับนี้จัดทำโดย ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล (Sinergia Animal) องค์กรพิทักษ์สัตว์ระดับนานาชาติ ครอบคลุมการประเมินบริษัทอุตสาหกรรมอาหารจำนวน 95 แห่ง ที่ดำเนินธุรกิจในอินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย ซึ่งทั้ง 5 ประเทศถือเป็นศูนย์กลางการผลิตไข่ที่สำคัญของเอเชีย และมีบทบาทต่อการขับเคลื่อนอุปทานไข่ไก่ปลอดกรงในระดับโลก

ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า 70.5% ของบริษัทเริ่มเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 69.8% ในปี 2024 อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทอีก 29.5% ที่ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ต่อสาธารณะ สะท้อนถึงช่องว่างด้านความโปร่งใส และความเสี่ยงที่คำมั่นสัญญาด้านสวัสดิภาพสัตว์อาจไม่สามารถบรรลุผลได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด (ภายในปี 2025)

บทบาทของเอเชียทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในฐานะศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานไข่โลก เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ครองส่วนแบ่งการผลิตไข่เชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่ของโลกในปัจจุบัน โดยมีประเทศที่เป็นตัวแปรหลัก ดังนี้

ประเทศไทย – แหล่งการส่งออกสำคัญ ทั้งในส่วนของไข่สดและวัตถุดิบไข่แปรรูป

อินโดนีเซียและมาเลเซีย – ฟันเฟืองหลักในการสร้างเสถียรภาพของอุปทานทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค

อินเดีย – กำลังขยายบทบาทในตลาดไข่ผงและวัตถุดิบไข่แปรรูปที่ใช้ทั่วโลก

ญี่ปุ่น – หนึ่งในประเทศที่มีอัตราการบริโภคไข่ต่อหัวสูงที่สุดในโลก และพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ระบบการเลี้ยงแม่ไก่ไข่แบบกรงขัง (battery cages) ยังคงถูกใช้เป็นรูปแบบหลักในเอเชีย โดยแม่ไก่ถูกจำกัดพื้นที่เลี้ยงที่เล็กกว่ากระดาษ A4 ไม่สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การทำรัง การเกาะคอน หรือการอาบฝุ่นได้ แม้ระบบดังกล่าวจะถูกยกเลิกหรือทยอยเลิกใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และนิวซีแลนด์  แต่ในเอเชียกลับยังคงแพร่หลาย เนื่องจากความคืบหน้าในการดำเนินงานยังไม่ทั่วถึงและขาดความโปร่งใสในการรายงานข้อมูล

รายงาน Asia Cage-Free Tracker 2025 จัดอันดับความก้าวหน้าของบริษัทออกเป็น 9 ระดับ เพื่อสะท้อนทั้งผู้นำและบริษัทที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยบริษัทที่สามารถดำเนินการเปลี่ยนมาใช้ไข่ไก่ปลอดกรงได้ครบถ้วนในธุรกิจเอเชียแล้ว ได้แก่ Aman Resorts, Capella Hotel Group, Illy Caffè, Lotus Bakeries, Pizza Marzano, Shake Shack, Starbucks, และ The Cheesecake Factory ขณะที่อีกหลายบริษัท เช่น Bali Buda, Groupe Holder, Groupe Savencia, IKEA, Pizza Express และ ViaVia Restaurant ยืนยันว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2025

ในทางกลับกัน ยังมีบริษัทถึง 33 แห่ง ที่รายงานความคืบหน้าเพียงในระดับโลก โดยไม่มีข้อมูลเฉพาะในเอเชีย และอีก 28 บริษัท ที่ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ต่อสาธารณะ

ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่าการดำเนินงานของบริษัทในแต่ละประเทศยังมีระดับความก้าวหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้

อินโดนีเซีย มีอัตราการเข้าร่วมของบริษัทสูงที่สุด (57 บริษัท) แต่การดำเนินการยังไม่สอดคล้องกัน

อินเดีย มีอัตราการรายงานข้อมูลในระดับที่ดี (78.6%) แต่การนำไปปฏิบัติจริงยังแตกต่างกัน

ญี่ปุ่น มีอัตราความโปร่งใสต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่ศึกษา (70.9%)

ประเทศไทย มีการมีส่วนร่วมในเกณฑ์ที่ดี แต่จำนวนบริษัทที่อยู่ในขั้นก้าวหน้ายังมีจำนวนน้อย

มาเลเซีย มีแนวโน้มการเข้าร่วมเพิ่มขึ้น แต่ยังขาดการเปิดเผยข้อมูลเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย

นูร์คายาตี ดารูนีฟะห์ ผู้นำด้านความรับผิดชอบของภาคธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชีย และผู้เขียนรายงาน กล่าวว่า “แม้จะมีสัญญาณของความคืบหน้า แต่ยังมีพื้นที่ให้เร่งการดำเนินงานได้อีกมาก การสื่อสารความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้บริษัทก้าวทันความคาดหวังระดับโลก ทั้งในด้านความโปร่งใสและการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบที่กำลังเพิ่มขึ้น”

ด้าน ศนีกานต์ รศมนตรี ผู้อำนวยการซิเนอร์เจีย แอนนิมอล ประเทศไทย กล่าวว่า “เมื่อเส้นตายปี 2025 กำลังจะสิ้นสุดลง ภาคธุรกิจในเอเชียได้มาถึงจุดตัดสินใจที่สำคัญ คำมั่นสัญญาเรื่องไข่ไก่ปลอดกรงต้องไม่ใช่แค่คำประกาศอีกต่อไป แต่คือบทพิสูจน์ความจริงใจอย่างเป็นรูปธรรม การลงมือทำและการรายงานอย่างโปร่งใส จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าเอเชียจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการยกระดับมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ในระดับสากลได้หรือไม่”

ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล ยืนยันจะเดินหน้าติดตามความคืบหน้าของภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทำงานร่วมกับบริษัทต่าง ๆ ทั่วภูมิภาค เพื่อผลักดันมาตรฐานที่สอดคล้องกับความคาดหวังระดับโลกด้านระบบอาหารที่มีความรับผิดชอบและยั่งยืนต่อไป

เพิ่มเพื่อน