
วันเวลาผ่านไปเร็ว อีกไม่กี่วันก็จะหมดปี 2025 เข้าสู่ปี 2026 วันนี้จึงอยากมองกลับปี 2025 ว่าเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไรปีที่ผ่านมา อะไรเกิดขึ้น จะเรียกว่าสรุปก็ได้ จากนั้นมองต่อไปปีหน้า 2026 ว่าอะไรน่าจะเกิดขึ้น ไม่ใช่แบบหมอดู ว่าอะไรจะขึ้นอะไรจะลง แต่วิเคราะห์ว่าจากสิ่งที่เกิดขึ้นปีนี้ เราจะคาดหวังอะไรได้บ้างปีหน้า ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ปี 2025 ผมคิดว่าเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งและความเปราะบางที่เศรษฐกิจโลกมีอยู่ พร้อมกันทั้งสองเรื่อง
ความเข็มแข็งคือความสามารถที่จะประคองตัวผ่านแรงกระทบต่าง ๆ ที่มีมากในปี 2025 โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ ที่เศรษฐกิจโลกสามารถปรับตัวรับแรงกระทบและขยายตัวต่อได้โดยไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แม้อัตราการขยายตัวจะชะลอลง นี่คือความเข้มแข็ง
ส่วนความเปราะบางคือช่องว่างที่มีมากที่นำไปสู่ความไม่แน่นอนทางนโยบายที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก และแสดงให้เห็นชัดถึงความเสื่อมถอยของความเข้มแข็งเชิงสถาบันของการกําหนดนโยบายเศรษฐกิจและกฏเกณฑ์ระหว่างประเทศ ที่การเมืองภายในของประเทศหนึ่งสามารถกําหนดกฏเกณฑ์หรือระเบียบการค้าที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกได้ สร้างความวุ่นวายและความเสียหายไปทั่ว ซึ่งแม้เศรษฐกิจโลกจะสามารถปรับตัวได้ในระยะสั้น แต่ก็ซ่อนความเปราะบางไว้มากที่จะสร้างความเสียหายตามมาให้กับเศรษฐกิจโลกในระยะยาว นี่คือความเปราะบาง
ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัวลดลงจากปีก่อนเหลือร้อยละ 3.2 เป็นผลจากการขึ้นภาษีนําเข้าของสหรัฐหรือภาษีทรัมป์ ความไม่แน่นอนทางนโยบาย และภูมิรัฐศาสตร์ที่นำไปสู่ความแตกแยกทางเศรษฐกิจและสงคราม กระทบทั้งประเทศรายได้สูงและประเทศกําลังพัฒนา ในแง่เศรษฐกิจ ผลกระทบที่รุนแรงสุดคือการขึ้นภาษีนําเข้าของรัฐบาลสหรัฐ จากอัตราเฉลี่ยร้อยละ 2-3 ปีที่แล้ว เป็นเฉลี่ยร้อยละ 17-18 ปัจจุบัน สูงสุดในรอบ 90 ปี และเปลี่ยนบริบทการค้าโลกอย่างสิ้นเชิง จากการค้าเสรีเป็นการกีดกันทางการค้า ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก การขยายตัวของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ทําให้ทุกประเทศต้องปรับตัว
เศรษฐกิจสหรัฐเองก็ถูกกระทบและต้องปรับตัว ปีนี้อัตราการขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 1.8 เป็นผลจากนโยบายภาษีของตนเอง ที่ทำให้การค้าระหว่างประเทศชะลอ กระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากต้นทุนที่สูงขึ้น กระทบค่าครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากนี้ นโยบายส่งกลับคนเข้าเมืองผิดกฏหมายก็กระทบอุปทานแรงงานในหลายอุตสาหกรรม กดดันค่าจ้างแรงงานและอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น เงินเฟ้อที่สูงสร้างข้อจํากัดต่อการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทําให้ภาวะ Stagflation คือเศรษฐกิจชะลอพร้อมอัตราเงินเฟ้อที่สูง เป็นความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐปีหน้า ซึ่งทั้งหมดพูดได้ว่าเป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐเองทั้งสิ้น
เศรษฐกิจจีนปีนี้ก็ชะลอ ถูกกระทบมากจากนโยบายภาษีและการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ทําให้ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของภาครัฐและเร่งแก้ไขปัญหาที่มีคือภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ไม่สามารถทัดทานโมเมนตัมการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ เศรษฐกิจยุโรปก็เช่นกัน ชะลอตัวจากผลของภาษี ราคาพลังงานที่แพงจากผลของสงคราม กระทบความสามารถในการแข่งขัน ที่ยังเติบโตดีพอควรคือประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของชนชั้นกลางและการขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจไทยชะลอ ขยายตัวร้อยละ 2.2 ปีนี้ เป็นผลทั้งจากภาษีทรัมป์ ความอ่อนแอของกําลังซื้อในประเทศ และความไม่แน่นอนที่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
เศรษฐกิจโลกที่ชะลอทําให้อัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจทั่วโลกส่วนใหญ่โน้มลดลง นํามาสู่การลดลงของอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกเว้นกรณีสหรัฐที่การลดลงของเงินเฟ้อยังไม่ชัดเจน ทําให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation อย่างที่กล่าว การลดลงของอัตราดอกเบี้ยและความสามารถของเศรษฐกิจในการปรับตัวรับแรงกระทบของภาษีทําให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้น ตลาดหุ้นปีนี้จึงตอบรับในทางบวก นําโดยตลาดหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เพิ่มขึ้น 25-30 เปอร์เซนต์
ความสามารถในการปรับตัวของเศรษฐกิจโลกในระดับจุลภาคทั้งบริษัท ตลาดการเงิน และเทคโนโลยี ถือเป็นความเข้มแข็งที่ชัดเจนของเศรษฐกิจโลกปีนี้ ในภาวะที่ในระดับมหภาคทั้ง การเมือง นโยบายเศรษฐกิจ และความเข้มแข็งเชิงสถาบันขององค์กรที่กําหนดนโยบายล้วนเสื่อมถอยลง และสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกมาก อันนี้คือความแตกต่างที่เห็นชัดเจนของเศรษฐกิจโลกปีนี้
ความเข้มแข็งระดับจุลภาคเห็นได้จากภาคธุรกิจที่ปรับตัวทันทีเมื่อข่าวร้ายเรื่องภาษีปรากฏโดยเร่งการนำเข้าส่งออกสินค้าไปสหรัฐก่อนอัตราภาษีใหม่จะเริ่มใช้ ปรับห่วงโซ่อุปทาน การสต๊อกสินค้า วิธีและเส้นทางส่งสินค้าไปสหรัฐ รวมถึงแชร์ภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นระหว่างผู้นําเข้าและส่งออก สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยลดดิสรัปชั่นและผ่อนเบาผลกระทบของการขึ้นภาษี ทําให้ทั้งธุรกิจและเศรษฐกิจสามารถไปต่อได้
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจก็ใช้ประโยชน์อัตราดอกเบี้ยที่ตํ่าลงเร่งลงทุนด้านเทคโนโลยี เอไอ พลังงานสะอาด เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น และราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากผลของสงคราม ซึ่งการลงทุนได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาดการเงิน ตลาดหุ้นปรับสูงขึ้น เพราะนักลงทุนมองว่าการลงทุนโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี่จะทําให้ผลิตภาพหรือ productivity ของเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความสามารถในการทำกำไรของภาคธุรกิจในระยะยาว
ความสามารถของเศรษฐกิจในระดับจุลภาคในการปรับตัว บวกกับ เศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ต่อในปี 2025 แม้ดิสรัปชั่นและความไม่แน่นอนจะมาก ทำให้ความมั่นใจของภาคธุรกิจดีขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับปีหน้า ประเด็นนี้สะท้อนชัดเจนจากผลสํารวจความเห็นนักบริหารโดยบริษัท McKinsey &Company ในรายงานแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจล่าสุดเดือนธันวาคม ที่สรุปว่า
นักธุรกิจมองโลกปี 2026 ดีขึ้นและมีความมั่นใจมากขึ้นหลังผ่านช็อกหรือดิสรัปชั่นในปี 2025 ได้อย่างน่าพอใจ ทั้งด้านมหภาคที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ต่อ ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย และด้านจุลภาคที่ผลประกอบการบริษัทไม่ได้ถูกกระทบมาก ทําให้นักธุรกิจลดความห่วงใยเรื่องการค้าว่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงปีหน้า มุ่งความสนใจไปที่ลูกค้า การลงทุนด้านเทคโนโลยี เพราะมองว่าเป็นโอกาสที่จะทําให้ธุรกิจเติบโต
ลึกๆ อันนี้คืออีกหนึ่งตัวอย่างของการไม่เชื่อมต่อหรือ Disconnect ระหว่างความรู้สึกด้านมหภาคที่มองว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอปีหน้า กับความมั่นใจที่มีมากขึ้นในระดับจุลภาคที่ภาคธุรกิจต้องการใช้เทคโนโลยีเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ความไม่เชื่อมต่อนี้จะเป็นบริบทสําคัญของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าและปีต่อๆไป
ส่วนความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนและน่าห่วงคือ ความเป็นระบบหรือความเข้มแข็งเชิงสถาบันของการทํานโยบายเศรษฐกิจ ทั้งองค์กรที่ทํานโยบายและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งระดับประเทศและระหว่างประเทศ ที่เสื่อมถอยลงและอ่อนแอชัดเจน จนเรียกได้ว่าไม่มีน้ำยา จากที่นโยบายหาเสียงของนักการเมืองประเทศหนึ่งสามารถทําให้ระบบการค้าโลกภายใต้ระบบพหุภาคีที่เกี่ยวข้องกับทุกประเทศเหมือนหมดบทบาทลงทันที สร้างความเสียหายและความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกมาก จนคาดเดาไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก นําไปสู่ต้นทุนที่สูงขึ้นในการทําธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นี่คือความเปราะบาง
ในระยะสั้นแม้เศรษฐกิจโลกโดยผู้เล่นระดับจุลภาคจะปรับตัวได้ในแง่การทําธุรกิจและกำไร แต่ก็เป็นการปรับตัวที่สร้างต้นทุนให้กับเศรษฐกิจโลกระยะยาว เพราะความไม่มีประสิทธิภาพของระบบใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้นโยบายและแรงจูงใจที่บิดเบือน นําไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่ผิดพลาด อีกประเด็นคือความเหลื่อมลํ้าในเศรษฐกิจโลกจะมากขึ้น เพราะความสามารถในการปรับตัวของแต่ละประเทศต่างกัน ทําให้ความเปราะบางที่มีอยู่จะกลายเป็นความเปราะบางเชิงระบบ (Systemic) และส่งผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งอันตราย
ท้ายสุด ความไม่เป็นระบบ ความไม่แน่นอน และความอ่อนแอของสถาบันที่ทำนโยบายจะทําให้ การประสานงานระหว่างประเทศในการแก้ปัญหาที่สําคัญต่อเศรษฐกิจโลกจะยิ่งยากมากขึ้น คือไม่มีใครสนใจมากพอที่จะทําอะไร ไม่มีผู้นํา คือต่างคนต่างอยู่ ทั้งที่ความรุนแรงของปัญหาจะเป็นวิกฤติร่วมกัน ซึ่งที่น่าห่วงสุดขณะนี้คือหนี้สาธารณะของประเทศอุตสาหกรรมที่สูงมากเฉลี่ยร้อยละ 110-111 ของรายได้ประชาชาติ ซึ่งถ้าไม่ดูแลแก้ไข เราก็อาจเห็นประเทศใหญ่หลายประเทศเกิดวิกฤติขึ้นพร้อมกันจากปัญหาหนี้ ซึ่งความเสียหายจะมหาศาล การแก้ไขต้องการ ความเป็นระบบ ความแน่นอนของนโยบาย และความเข้มแข็งเชิงสถาบันขององค์กรที่ทํานโยบาย ซึ่งขณะนี้ไม่มี
นี่คือความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกที่ซ่อนอยู่ และรอต้อนรับปี 2026
เขียนให้คิด
ดร. บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

