'ขุนคลัง' แถลงผลประชุม ครม.เศรษฐกิจ นัดแรก เร่งหามาตรการกระตุ้น 3 ระยะ

“เศรษฐา” หัวโต๊ะคุยรมต.-หน่วยงานเศรษฐกิจ ถก มาตรการกระตุ้น 3 ระยะ “ขุนคลัง” เตรียมคุยธปท.เรื่องอัตราดอกเบี้ย ระบุ หากสินค้าแพง ดอกเบี้ยต้องถูกหน่อย ด้าน “เผ่าภูมิ” เผย อีก 2 สัปดาห์ ชงครม. พิจารณาค้ำสินเชื่อเอสเอ็มอีรายใหม่ 

27 พ.ค.2567 - เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ หรือ ครม.เศรษฐกิจ โดยมีรัฐมนตรีจากกระทรวงเศรษฐกิจ และหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการลงทุน เข้าร่วม

ทั้งนี้ นายเศรษฐา กล่าวก่อนเริ่มประชุมว่า เนื่องจากไทยยังเผชิญปัญหาหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กระทบการส่งออก กำลังซื้อประชาชนอ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง ปัญหาหนี้เสีย การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องมาหารือในรายละเอียด เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ การกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ประชุมจึงต้องร่วมแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามศักยภาพ

ต่อมาเวลา 18.20 น. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ร่วมกันแถลงผลการประชุม โดยนายพิชัย กล่าวว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันหารือถึงปัญหาเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศที่ส่งผลต่อให้ สศช.ปรับลดประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศตลอดปี 2567 ลงจาก 2.7% เหลือ 2.5% โดยที่ประชุมได้นำทุกปัญหามากางบนโต๊ะเพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางออกร่วมกัน โดยจะมีมาตรการออกมาเป็นระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและทำทุกวิถีทางเพราะตนเองไม่พอใจการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ 2.5%

นายพิชัย กล่าวว่า ขณะนี้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมต่ำมากที่ 57.2% ส่งผลต่อการจ้างงานและการบริโภคเป็นวงจรไป เมื่อผู้บริโภคไม่ซื้อ ไม่มีกำลังซื้อ ผู้ผลิตก็ไม่มีรายได้ จึงต้องหาทางกระตุ้นขึ้นมา โดยที่ประชุมไล่สินค้าทุกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นในระอบ 15 ปี ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม รถยนต์ อิเลคทรอนิคส์ ท่องเที่ยว การทำพลังงานสีเขียวป้อนธุรกิจสีเขียว โดยท่องเที่ยวปีนี้เติบโต ในภาคอุตสาหกรรมรายใหญ่พอสู้ไหว กู้เงินได้ แต่รายเล็กเข้าไม่ถึงแหล่งทุน ไม่มีสภาพคล่อง ซึ่งผู้ว่า ธปท.ก็เห็นว่าเศรษฐกิจมีปัญหาเรื่องการปล่อยสินเชื่อและต้องมีมาตรการบางอย่างออกมา

รองนายกฯและรมว.คลัง ระบุว่า ศักยภาพของประเทศไทยดี อุดมสมบูรณ์ พื้นฐานดี การขยายตัวของเศรษฐกิจต้อง 3.5% ขึ้นไป และที่ประชุมได้หารือถึงค่าเงินเฟ้อที่พอดีเพื่อนำมาเป็นนโยบายโดยกระทรวงการคลังและธปท.เห็นให้ตรงกันว่าจะกำหนดกรอบเงินที่เหมาะสมเท่าใด ปกติจะคุยกันสิ้นปี แต่ครั้งนี้เราเห็นความจำเป็นต้องเริ่มคุยกันเลย โดยในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย หากสินค้าราคาถูก ดอกเบี้ยก็ต้องแพงหน่อย หากสินค้าแพง ดอกเบี้ยก็ต้องถูกหน่อย ก็คงต้องมาดูว่าเราจะตั้งกรอบเงินเฟ้อเท่าใด

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า มาตรการระยะสั้นที่เห็นร่วมกันในที่ประชุมครั้งนี้คือ การแก้ปัญหาการหดตัวของการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีอย่างรุนแรง ผู้ว่าฯ ธปท.ได้เสนอและเห็นตรงกับกระทรวงการคลังคือมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หรือมาตรการ PGS ซึ่งจะเป็นมาตรการ PGS รอบที่ 11 ซึ่งการช่วยเหลือในส่วนนี้ของภาครัฐจะทำให้ปัญหาในเรื่องที่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี แต่ในส่วนนี้ภาครัฐจะเข้าไปช่วยรับความเสี่ยงให้ โดยมาตรการนี้จะเข้า ครม.ได้ใน 2 – 3 สัปดาห์ข้างหน้า โดยเพิ่มเงื่อนไขว่าต้องปล่อยกู้หรือค้ำประกันสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีรายใหม่ที่ไม่เคยได้รับเงินกู้เป็นอันดับแรกด้วย

นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า ส่วนของงบประมาณกระทรวงการคลังจะไปเร่งรัดการเบิกจ่ายทั้งในส่วนของงบประมาณและงบในการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐได้รับโจทย์ให้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนช่วยให้มีการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น ส่วนมาตรการในภาคของการท่องเที่ยวที่ประชุมมอบหมายให้ รมว.กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ไปดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงโลว์ซีซั่น โดยกระทรวงการคลังเตรียมมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองซึ่งจะเปิดเผยเงื่อนไขให้ทราบต่อไป

ด้านนายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขอทำความเข้าใจว่าการประชุมครั้งนี้ นายกฯเชิญรับมนตรีและหน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องมาร่วม แต่ไม่ได้ตั้งเป็นคณะกรรมการแบบคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ซึ่งนายพิชัยเสนอให้ สศช.และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยจะหารือประเด็นขับเคลื่อนงานได้ง่ายขึ้นเพราะมีหน่วยงานด้านเศรษฐกิจอยู่พร้อม มีการโยนโจทย์มาให้ทุกคนทำต่อและจะมีกลไกที่หลายกระทรวงจะได้นำไปขับเคลื่อน ทั้งนี้ นายลวรณ แสงสนิทาน ปลัดกระทรวงการคลังเสนอว่าระหว่างรอมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ควรคิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีเพิ่ม โดยแต่ละกระทรวงต้องรับกลับไปและนำมาหารืออีกครั้ง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘เศรษฐา’ ยื่นบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติม พบรวย 1,020 ล้าน มีเงินลงทุนเพิ่ม 2 แสน

บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ยื่นเข้ามาเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2567

นายกฯ เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Aviation Hub

นายกฯ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Aviation Hub ขอบคุณการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมั่นหลังขยายสิทธิการบินไทย-อินเดีย เพิ่มที่นั่งบนเครื่องบินระหว่างกัน 7,000 ที่นั่ง/สัปดาห์ จะส่งเสริมการเดินทางและการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ

‘เศรษฐา’ ลาป่วยติดโควิด กลับมาปฎิบัติงานวันที่ 19 มิ.ย.นี้

นายกรัฐมนตรี ได้พบแพทย์ หลังจากมีอาการป่วย อ่อนเพลียเล็กน้อย ตั้งแต่วันศุกร์ ที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมา ผลการตรวจพบว่าติดโควิด